วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2559

การตลาดเพื่อความยั่งยืน เส้นทางที่คุณคู่ควร

หลังจากที่ชาว Blog การตลาด3ช่า ได้อ่านตอน การตลาดแบบยั่งยืนสไตล์ญี่ปุ่น กันไปแล้ว (เมื่อวานนี้) เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับไอเดียสุดเจิดเกิดประกาย แพรวพราวดาวลูกไก่ของพี่ยุ่นประเทศนี้ ต้องยกนิ้วให้จริงๆ กับหลากหลายมิติที่มองถึงสินค้าและบริการของเขา วันนี้ผมยังอยากมาต่อเรื่องราวเกี่ยวกับ "การตลาดที่ยั่งยืน" กันต่อดีกว่านะครับ

เคยสังเกตรอบๆตัวกันบ้างหรือเปล่าครับว่า ทำไมบางยี่ห้อ บางสินค้ายังนิยมทำการตลาดในแนวเดิมๆ บางแบรนด์ก็กลับด้านพลิกโฉมโอมมะลึกกึกกึ๋ย เปลี่ยนด้านแบบทีวี 360 องศาก็มี ในขณะที่โลกของการตลาดขยับจาก การตลาด 1.0 ไปเป็น 2.0 และที่มาแล้วคือ การตลาดแบบ 3.0 ที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากขึ้น แล้วแก่นหลักของการตลาดจริงๆ คืออะไรกันแน่อ่ะ??? อะไรที่ทำให้การตลาดอยู่กันได้ยาวยาว ยั่งยืนกันไปเรื่อยๆ เพราะในด้านเศรษฐศาสตร์ก็มีทฤษฎี เศรษฐกิจแบบยั่งยืน (Sustainable Economic) หรือการทำให้ยอดขายโตอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งไม่ได้คิดถึงเฉพาะยอดขายเท่านั้น เราต้องคิดถึงความยั่งยืนในเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันด้วย

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนบอกว่าปวดหัวแล้ว อะไรล่ะที่เป็นการตลาดแบบยั่งยืนจริงๆ มีด้วยหรอ พูดเป็นเล่น หรือมาหลอกกันอ่ะป่าว งั้นเรามาดูกันดีกว่าว่า 3 แนวคิดที่จะทำให้การตลาดอยู่แบบยั้งยืนยงคงกระพันมีอะไรกันบ้าง

ข้อแรก "เอาคนนำ" ในมุมนี้เราต้องเข้าใจถึงพฤติกรรมของคนแบบ 24 ชั่วโมง แบบบ้านอะคมเดมี่แฟนเทเชียที่ติดกล้องให้เรารู้ทุกความเคลื่อนไหว ทุกจังหวะชชีวิต หรือทุกท้วงทำนองของโอกาสต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์คนหนึ่งแบบเรื่องจริงตัวจริง เพราะจุดนี้จะเป็นจุดที่จะทำให้เราเข้าใจและรู้ว่า เราสามารถเข้าไปเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับลูกค้า หรือคนที่สนใจผลิตภัณฑ์ของเราได้อย่างไร เริ่มจากการเอาใจใส่เรื่องเล็กๆใกล้ๆตัว จนขยายวงกว้างไปถึงการมอบความรักให้กับแบรนด์ของเรา ฉะนั้นหาจุดจุดนี้ให้เจอเร็วที่สุด ยิ่งเจอเร็วเรายิ่งได้เปรียบนะครับ
ข้อสอง "สร้างให้รัก" หลายคนบอกว่ายุคนี้อาจจะสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาสักอันยากจะตายอยู่แล้ว ไม่ได้เกิดมาหรือโผล่มาให้เห็นได้ง่ายๆ เพราะทุกอย่างรอบตัวแบรนด์ต่างๆ ล้นหลามบานเบอะเยอะแยะไปหมดแล้ว แหม๋ๆ ถ้าคุณคิดแบบนี้อันนี้อยากให้ลองปรับมุมคิดอีกหน่อยว่า ยิ่งมีแบรนด์มากในตลาด เรายิ่งได้เรียนรู้มากตามนะครับ เพราะเราจะได้เจอทั้งสิ่งที่น่าทำ และสิ่งที่ไม่น่าทำจากแบรนด์ต่างๆ นั่นเอง เมื่อรู้แบบนี้แล้วก็อย่าเพิ่งท้อไปก่อนนะครับ ผมเป็นกำลังใจให้สำหรับแบรนด์ใหม่ๆ ที่เตรียมมาลงสู่สนามรบกัน และอีกข้อที่ต้องย้ำเตือนใส่ไอเดียกันให้เต็มที่ครับ คิดง่ายๆ เหมือนเราทำยำขึ้นมาสักจาน หยิบจับใส่เครื่องเติมรสกันให้แซ่บ แต่จานให้สวย หรือถ่ายรูปให้ดูน่าทาน แล้วเอามาตั้งให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาน้ำลายไหลย้อยคอยที่จะกินให้ได้ แบบนี้แบรนด์คุณก็เริ่มเข้าไปในใจแล้วระดับหนึ่ง
ข้อสุดท้าย "จิตสัมผัส" อันนี้ผมไม่ได้หมายถึงสิ่งที่คุณคิดอยู่ที่ปรากฎในรายการคนอวดผีนะ แต่ผมหมายถึงสิ่งที่สามารถสัมผัสได้ด้วยจิตวิญญาณ หรืออะไรที่เป็นนามธรรมที่ดูเหมือนจะจับต้องไม่ได้ แต่จริงๆแล้วมันมีตัวตนนะครับ อาทิเช่น เวลาคุณไปแช่บ่อน้ำร้อนออนเซนที่ประเทศญี่ปุ่น แช่ไปดูวิวภูเขาไฟพร้อมๆกัน ทั้งๆทีน้ำร้อนมากๆ แค่จะเอาเท้าแหย่ไปข้างเดียวก็สะดุ้งแล้ว แต่พอเรานั่งแช่ไปสักหน่อย เราก็อยู่ได้ยาวเป็นสิบสิบนาที หรือบางคนถึงครึ่งชั่วโมงก็มี เพราะมีบางอย่างที่ทำให้คุณหลงเข้าไปอยู่ในภวังค์อะไรบางอย่างนั่นเอง สิ่งนี้แหละครับ ถ้าสินค้าและบริการของคุณมี จะยิ่งทำให้คุณได้เปรียบกว่าคนอื่น แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ค่อนข้างไม่ง่ายเท่าไร แต่ผมเชื่อว่าคุณๆที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ต้องค้นหาเจออย่างแน่นอนครับ ฟันธง!!!
เป็นอย่างไรบ้างครับ กับ 3 แนวทางที่จะสร้างการตลาดแบบยั่งยืนในอีกมุมหนึ่ง ใครที่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ผมมีอีกหนึ่งคำแนะนำดีดีมาให้ คุณลองนึกถึงร้านอาหารที่คุณชอบไปบ่อยๆ หรือโรงแรมที่คุณต้องไปพักประจำ หรือแม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวที่คุณโปรดปราน สิ่งเหล่านี้ที่ยกตัวอย่างไป มีอะไรบางอย่างที่รอให้คุณกลับไปสัมผัส และค้นหามนต์เสน่ห์ที่ซ่อนอยู่เสมอ เพราะไม่อย่างงั้นคุณไม่ยอมไปเป็นครั้งที่ 2 หรอกครับ จริงมั้ย??? แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น