วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อุตสาหกรรม ลดสัดส่วนผู้หญิง

อุตสาหกรรมความงามลดกระชับสัดส่วนของผู้หญิง - Growth industry ที่มีระดับการเติบโตปีละเกือบ 20% จากการเติบโตจากการผลิตและส่งออกที่ทำให้จีนใช้เวลาเพียง 20 กว่าปีก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจอันดับสองของโลกได้ นโยบายของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงที่เปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจมาโตจากการบริโภคภายในที่เน้นการบริการมากขึ้น ทำให้เวลานี้คือโอกาสดีของการเติบโตของธุรกิจด้านการบริการ

ตัวเลขผลการวิจัยตลาดจาก Euromonitor พบว่าอุตสาหกรรมบริการด้านความงามในประเทศจีนมีการเติบโตของยอดขายเฉลี่ยปีละกว่า 16% ตั้งแต่ปี 2005 - 2011 และ Euromonitor ประมาณการเติบโตของอุตสาหกรรมบริการด้านความงามในจีนตั้งแต่ปี 2011 - 2015 ไว้ที่เฉลี่ยปีละ 21.6% นับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากในระดับอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ภายในภาคการบริการด้านความงามนั้น ยังมีการเติบโตของธุรกิจลดกระชับสัดส่วน (Body Slimming) ซึ่งสามารถโตได้เฉลี่ยปีละ 17% ภายในช่วงเดียวกัน ปัจจัยเกื้อหนุนของการเติบโตมีดังนี้
1. การเพิ่มขึ้นของรายได้สำหรับประชากรหญิงของจีน ไม่เฉพาะหัวเมืองขนาดใหญ่ที่ถูกจัดเป็นเมืองชั้นที่ 1 เท่านั้น แต่เมืองที่มีขนาดรองลงไปอย่างเมืองชั้น 2, 3 และ 4 ก็มีรายได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน และเป็นเมืองเป้าหมายของธุรกิจต่างชาติขนาดใหญ่ในการเข้าไปเปิดตลาด
2. ด้วยความมีระดับทางสังคมที่สูงขึ้น ประชากรหญิงชาวจีนจึงให้ความสนใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกมากขึ้น และการใช้บริการโดยศูนย์บริการความงามจึงมากขึ้นตามไปด้วย
3. ความลดลงของความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ยาลดน้ำหนัก ทำให้เริ่มหันมาสนใจใช้บริการกระชับสัดส่วนที่ศูนย์บริการความงามมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องรับประทานยาเลย
4. มีจำนวนประชากรที่เข้าเกณฑ์น้ำหนักเกินสูงถึง 300 ล้านคนจากประชากร 1,200 ล้านคน ในปี 2012 ประมาณการโตยกระทรวงสาธารณสุขของจีน
ตลาดความงามของจีนมีการแข่งขันสูงและมีผู้เล่นกระจัดกระจายหลายราย สำหรับผู้เล่นที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดเป็นผู้เล่นจีนที่เน้นจับตลาด mass และราคาถูก ในขณะที่ผู้บริโภคที่เริ่มมีรายได้สูงขึ้นจะหันมาใช้บริการร้านที่มีราคาสูงกว่า มีแบรนด์ชัดเจน และมีงบการตลาดสูงพอที่จะจ้างดารามาสนับสนุนบริการ ซึ่งจะได้ความน่าเชื่อถือสูงกว่า...แอบเหมือนที่ไทยมากเลยนะครับ
ส่วนใหญ่แล้วแบรนด์ที่มีราคาระดับพรีเมียมขึ้นไปจะเป็นผู้เล่นต่างประเทศที่เข้าไปเปิดตลาด โดยเฉพาะผู้เล่นที่มาจากฮ่องกงและเกาหลี ซึ่งกระแสความนิยมของเกาหลีในเมืองจีนก็มีมากขึ้นเรื่อยๆจากรายงานหนึ่งของ Euromonitor ในเดือนพฤษภาคมปี 2015 ที่เรียกว่า "Korean Wave”
แต่กระแสนิยมเกาหลีน่าจะกระทบกับสินค้า personal care เช่น ครีมบำรุงผิว มากกว่าตลาดบริการกระชับสัดส่วนซึ่งมีผู้เล่นในฮ่องกงเข้าไปบุกตลาดจีนเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว
ผู้เล่นแบรนด์ดังระดับนานาชาติอย่าง L'OREAL (OR) ก็ได้รับประโยชน์และเติบโตไปกับอุตสาหกรรมนี้ได้ไม่น้อยทีเดียว แต่ต้องเจอกับการแข่งขันกับผู้เล่นจีนที่แข่งแกร่งและเข้าใจความต้องการของชาวจีนมากกว่าอย่าง Shanghai Jahwa United (600315: SHA) โดยเฉพาะลูกค้าในเมืองชั้น 2, 3 และ 4 ที่ยังเป็นโอกาสของผู้เล่นจีนอย่างมากมาย
กลยุทธ์ของ L'oreal เพื่อสู้กับผู้เล่นจีนก็คือ เข้าซื้อกิจการของผู้นำในตลาดจีนนั่นเอง เหมือนที่บริษัทได้เข้าซื้อผู้นำในตลาดบำรุงผิวหน้าของจีนรายหนึ่งชื่อ Magic Holdings International ในปี 2013 ...อย่างไรก็ตาม ภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นแบบนี้ก็อาจทำให้ผู้นำตลาดของจีนเล่นแผนซื้อและควบรวมกิจการได้เหมือนกันนะครับ
สำหรับตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อความงามนั้น นอกจากจะมีผู้เล่นจีนที่กระจัดกระจายอยู่แล้ว ตลาดก็ยังเป็นที่หมายตาของผู้เล่นระดับโลกอย่าง Procter & Gamble (PG:US) และ Unilever (ULVR:LN) อีกด้วย
สำหรับช่องทางการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มนี้ของตลาดจีน อเมริกา หรือ อังกฤษ นักลงทุนไทยสามารถลงทุนได้ผ่านทางบัญชี global trading กับธนาคารพาณิชย์หรือโบรกเกอร์ชั้นนำของเมืองไทยครับ เรื่องของความสวยความงาม รวมกับรายได้ของประชากรขนาดมหาศาลแบบนี้ น่าจะเป็นหนึ่งในสุดยอดโอกาสการลงทุนในธุรกิจเติบโตสูงของแดนมังกรนะครับ
ขอบคุณบทความดีดีจาก Stcok2morrow ครับ http://www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=426

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ทำให้ดี ทำให้ไว ถ้าทำได้ ลูกค้าวางใจ!!!

มาดูกันว่าเราจะดำเนินการให้ลูกค้าไว้วางใจได้อย่างไร ด้วย 5 แนวทางที่ผมลองรวบรวมมาฝากคุณๆกันในค่ำคืนนี้ โดยผมเลือกไอเดียต่างๆมาจากการแตกตัวอักษร จากคำว่า "TRUST" ที่แปลว่าไว้วางใจนั่นเอง

เอาหละครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ได้เวลามาเริ่มดูว่า ต้องทำอะไรกันบ้าง เพื่อทำให้ลูกค้าสนิทใจกับธุรกิจของคุณได้



ตัวอักษรแรก ตัว T หรือคำว่า Time "คุ้มค่าทุกนาที ดูทีวีสีช่องสาม" วลีที่เป็นสโลแกนของโทรทัศน์ช่องดัง ทุกวินาที ทุกนาที ทุกชั่วโมง หรือทุกวันของลูกค้ามีความสำคัญเสมอ บางครั้งสัญญาว่าจะจัดการปัญหาให้ลูกค้าเสร็จภายในกี่วัน หรือนานกี่ชั่วโมงจะแก้ไขให้ ก็ต้องทำให้ได้ตามช่วงเวลาที่ได้แจ้งไว้ อย่าลืม!!! ว่าในมุมของลูกค้า ถ้าตัวลูกค้าเดือดเนื้อร้อนใจอยู่ ทุกเวลาที่เดินผ่านไปมีความสำคัญเสมอ ฉะนั้นอย่าไปเวลาลอยนวลนะครับ

ตัวต่อมา คือ R ซึ่งผมคิดว่าเป็นคำว่า Reason เหตุผลเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในการตัดสินใจหลายๆอย่าง หรือแม้แต่การดูแลบริการลูกค้า เหตุผลยังคงเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณไม่ควรมองเลยผ่านไป บางครั้งในสถานการณ์จริง อาจจะมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง บางทีอารมณ์ลูกค้าคุณคงไปจัดการโดยตรงไม่ได้ทั้งหมด แต่ถ้าเราเอาเหตุผลหรือหลักการตามกติกามารยาท ลองคุยกับลูกค้าดู ผมเชื่อว่าทุกๆอย่างก็น่าจะเบาลง หาทางออกกันได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังคือ การทำอะไรพิเศษให้ลูกค้าบางคนเป็นกรณีพิเศษไป ที่อยู่นอกเหนือเหตุและผล พอเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้ ผมว่าเหตุผลอาจจะเอาไม่อยู่แว้ว ต้องเตือนกันไว้ก่อนนะเด้อ

มาถึงไอเดียที่สาม ครึ่งทางแล้ว คือ U หรือ Understanding ความเข้าใจลูกค้าว่าลูกค้ามีความต้องการอะไรบ้าง นอกจากแค่เข้าใจเรื่องความต้องการแล้ว อาจจะต้องเข้าใจตั้งแต่กระบวนการเข้ามาเจอเรา ว่าลูกค้าเริ่มต้นจากตรงไหน จุดประสงค์คืออะไร อะไรที่เป็นสิ่งที่ลูกค้าตัดสินใจ ในมุมของลูกค้าคงต้องการคนเข้าใจเขา ประมาณเอาใจเขา มาใส่ใจเรา ถ้าเรากระโดดเข้าไปนั่งในใจลูกค้าได้ คุยกันเหมือนเพื่อนด้วยภาษาแนวเดียวกันได้ แบบนี้คุณจะคุยกับลูกค้าได้เป๊ะเว่อร์

อ่านมาถึงตรงนี้มาถึงไอเดียเกือบสุดท้ายแล้ว อย่าเพิ่งเหนื่อยกันไปก่อนนะครับ...

ตัวอักษรที่ 4 คือ S = Stability เมื่อเริ่มทำอะไรแล้ว ทุกอย่างเหมือนเริ่มวิ่ง หลังจากกรรมการปล่อยตัวจากจุด Start แล้ว นั่นคือสิ่งที่ลูกค้าจดจำได้แล้วเช่นกัน ฉะนั้นไม่ใช่ทำครั้งเดียวแล้วตีจากหายไป แบบนี้ไม่คงเส้นคงวา ลูกค้างงแล้วอาจไม่ปลื้มตามมาได้ วันนี้มาตราฐานการดูแลต่างไปจากเดิม ถ้าเปลี่ยนแล้วดีขึ้นเรื่อยๆ อันนี้พอไปต่อกันได้ แต่ถ้าตีลังกากลับด้านกัน ยิ่งทำยิ่งดิ่งลงต่อไป งานนี้ลูกค้าอาจเบือนหน้าสะบัดบ็อบจากไปได้นะครับ ดังนั้นวางรูปแบบการจัดการให้เป้นแนวทางมาตราฐานให้ได้มากที่สุดครับ

สุดท้ายท้ายสุด คือ T ที่ย่อมาจาก Take me home ไอเดียสุดท้ายนี้ คหสต. ผมชอบมาก เพราะเราทำให้ลูกค้าไว้ใจได้แล้ว ถ้าลูกค้าเอาความไว้วางใจนี้ติดตัวติดใจกลับบ้านไปด้วย คุณคิดว่าจะดีขนาดไหน ประมาณว่าห่อกลับบ้านแล้วเอาไปกินอิ่มยิ้มปริมต่อได้ ผมว่ามันจะสุดยอดมาก ลองคิดภาพตามนะครับ ลูกค้าวางใจจนพาเรื่องดีดีของเรากลับไปบ้านด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นผมว่าลูกค้าคงไม่เก็บเรื่องดีดีไว้เท่านี้แน่ๆ การบอกต่อเรื่องดีดีของเราถูกส่งต่อได้ โดยไม่ต้องเสียสตางค์สักนิดเลยนะครับ วิธีนี้ดีสุดๆ แต่ในทางกลับกัน ลูกค้าถ้าไม่ปลื้ม แล้วเอาเรื่องไม่ค่อยดีกลับไป ก็ถูกนำไปเป่าประกาศแบบไม่เสียเงินเลยสักหน่อยเช่นเดียวกัน

ผ่านไปแล้วสำหรับ 5 ไอเดียที่ผมนำมาบอกต่อๆกัน อาจจะมีวิธีอื่นๆ เพิ่มเติมที่ทำให้ลูกค้าวางใจได้อีก ชาวเพจการตลาด3ช่ามีอะไรแนะนำ หรือมีประสบการณ์แนวไหนมาแบ่งปันกันได้นะครับ จะได้ให้เพื่อนๆที่กำลังบริหารจัดการเรื่องนี้อยู่ ได้ไอเดียใหม่ไปลองใช้กันดูเช่นกันครับ ^_^

ขอบคุณรูปประกอบจาก Google นะครับ #marketingchachacha #การตลาด3ช่า

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

CONTENT ต้องพอดีคำ เพราะเวลามีจำกัด

โลกโซเชียลทุกวันนี้มีอะไรให้เราเข้าไปดูมากมาย จึงไม่แปลกที่คนเราดูจะจดจ่อ เรื่องหนึ่งๆน้อยลง โดยบทความจาก Marketo วิเคราะห์ว่า ในปี 2015 เวลาในการรับชม Content อะไรก็ตาม อยู่ที่ 8.25 วินาที เท่านั้น !!! ลดลงจากปี 2012 ที่อยู่ที่ 12 วินาที และส่วนใหญ่ก็เล่นโซเชียลผ่านสมาร์ทโฟนด้วย ดังนั้นเลื่อนปรื้ดๆ กันเลยทีเดียว
จากข้อมูลดังกล่าวจึงเป็นสาเหตุให้คอนเทนท์สมัยใหม่ จำเป็นต้องมีคอนเทนท์ที่กระชับจัดให้ผู้อ่านด้วย เรามาดูกันว่า องค์ประกอบที่จะทำให้ 8.25 วินาทีนี้มีค่า มีอะไรบ้าง
Bite-Size-Content---CONTENT
พาดหัวต้องดึงดูดการพาดหัวนั้นถือเป็นศาสตร์ขนานหนึ่ง เพราะนอกจากจะต้องทำให้ดึงดูดผู้อ่านแล้ว ยังต้องกระชับอีกด้วย เราจึงอาจจะเห็นการพาดหัวทั้งในไทย และต่างประเทศ ใช้วิธีการพาดหัวแบบเรียกลูกค้า ซึ่งถึงแม้จะทำให้คนกดเข้าไปอ่าน แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมักไม่ดีตามมา ดังนั้นพาดหัวที่ดี ต้องสั้น ดึงดูด และครอบคลุมเนื้อข่าว
Text ต้องกระชับที่สุดตัวเนื้อหาข้างในก็ต้องกระชับ และไม่วกไปวนมา ถ้าจำเป็นต้องใส่ข้อความเยอะ ก็ควรมีสรุปเน้นไว้ให้ด้วย ผู้บริโภคที่เร่งรีบ จะได้ Scan และ รับข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว
Infographic ช่วยได้ถ้าข้อความจำเป็นต้องเยอะ ก็ต้องหาภาพ และ Infographics เข้ามาช่วย เพราะนอกจากจะอ่านง่ายแล้ว ยังทำให้คอนเทนท์น่าสนใจ ดึงดูดให้คนเข้ามาอ่านได้
คลิปน่าสนใจ ไม่อยากปิดการทำคลิปทำให้คนอยากดู แต่ถ้าเปิดคลิปมาแล้วไม่น่าสนใจ ก็พร้อมปิดได้เหมือนกัน ทุกวันนี้งานโฆษณาจึงต้องผลิต และสรรหาคลิปสนุกๆ ดูแล้วไม่น่าเบื่อมาให้ผู้ชม เพราะปัจจุบันเมื่อผู้ชมรู้ว่าเป็นโฆษณาก็เตรียมกดปิดแล้ว ถ้าเป็นโฆษณาที่ไม่ดีก็ยิ่งเสียเวลาใหญ่
ขอบคุณข้อมูลจาก Marketeer (http://marketeer.co.th/2015/10/bite-size-conte/)

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ทำไมลูกค้าถึงซื้อล่ะครับ???

วันนี้เอาข้อมูลดีดีมาฝากเกี่ยวกับ "ทำไมลูกค้าถึงซื้อล่ะครับ" มาดู 8 ประเด็นที่อาจดูสั้นๆ ที่มีความหมายย๊าวยาวกันครับ

1) ปัจจัยหลักที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ คือ "คุณภาพของผลิตภัณฑ์คุณ" คิดเป็น 56% ครับ เรื่องคุณภาพยังมาเป็นที่หนึ่งนะครับ อย่ามองข้ามไปโดยเด็ดขาด
2) การเปรียบเทียบราคาสินค้าของห้างสรรพสินค้าคู่แข่งเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อของในห้างของคุณได้ถึง 80%
3) เวลาจะซื้อสินค้าที่มีมูลค่ามากๆ หรือราคาสูงๆ นักช้อปที่แอบเล็งของไว้ในใจ กลุ่มนี้จะแอบไปเช็คราคา หรือดูสินค้าจากห้างสรรพสินค้าก่อน แล้วคดีพลิกหันมาแอบซื้อบนออนไลน์ถึง 62%
4) สินค้าแนวเทคโนโลยี ถ้าอยากให้คนซื้อสินค้า ควรจะทำวิดีโอแนะนำไว้นะครับ เพราะคนดู 9 ใน 10 คน บอกว่าถ้าได้ดูแล้วอาจจะจ่ายเงินให้คุณได้
5) 54% ของเหล่านักช้อปเป็นเจ้าของ smartphone และ 76% ของเจ้าของ smartphone กลุ่มก่อนหน้าเมื่อกี้ก็ใช้มือถือในการช้อปปิ้งครับ
6) รู้หรือเปล่าว่าการโพสข้อความของเพื่อนเรามีผลต่อการซื้อโดยตรงของคุณ 81% นะครับ
7) ต่อจากข้อเมื่อสักครู่นี้ การโพสของเพื่อนคุณเกี่ยวกับเหล่าโปรโมชั่นของยี่ห้อต่างๆ มีผลทำให้คุณตอบสนองถึง 30% เลยทีเดียว
8) การทำเนื้อหาพร้อมรูปภาพ สามารถสร้างความผูกพันธ์กับแบรนด์ของคุณได้ 44% ตามมาด้วยการทำเนื้อหาพร้อมวีดีโอ สร้างได้ 40% ครับ
ขอบคุณที่มาจาก http://blog.hubspot.com/marketing/why-people-buy-factors-influence-purchase-descision และรูปภาพจาก Google 

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

"แค่วิธีเลี้ยงปลาจานแดงบอกมุมการตลาดได้"

เมื่อเช้าที่ผ่านมาผมได้ดูรายการ Begin Japanology (ตอนรีรัน) ของทาง Voice TV เกี่ยวกับเรื่องของปลาจานแดง หลายคนคงสงสัยว่าปลาจานแดงเป็นยังไง (ลองดูตามรูปได้เลย) ปลาชนิดนี้เป็นปลาแห่งความโชคดี ที่เป็นมงคลของและมีความสำคัญกับวัฒนธรรมและอาหารญี่ปุ่นมากมายครับ แต่ผมไม่ได้เชิญชวนไปเที่ยวญี่ปุ่น หรือไปหาปลาจานแดงกินกันยามเช้าวันนี้นะครับ ใจเย็นๆกันก่อนนะคร้าบ

มาลองอ่านบทสัมภาษณ์ของชาวประมงท่านหนึ่งเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาจานแดงกัน "ผมเลี้ยงปลาจานแดงในทะเลโดยแยกเป็นกระชังต่างๆตามขนาด ตัวไหนโตขึ้นก็ย้ายไปกระชังอีกอันหนึ่ง ส่วนอาหารก็แบ่งเป็น 8 แบบ ตามขนาดและปริมาณของอาหารที่เหมาะกับปลานจานแดงตัวนั้นๆ"

การแบ่งอาหารปลาของชาวประมงคนนี้ ถ้าดูผ่านๆก็เป็นแบบเดียวกัน แต่ต่างแค่ขนาด 8 แบบที่เหมาะกับการเลี้ยงดูปลาจานแดงในกระชังนั้นๆ



ให้เปรียบแบบการตลาดก็คือ การดูแลลูกค้า หรือการติดต่อสื่อสารตามกลุ่มลุกค้าตามที่ลูกค้าสนใจ บางทีการดูแลลูกค้าแบบเดียวกันทั้งทุกกลุ่มเลย อาจได้ความมาตราฐานที่คุณควบคุมได้ทั้งหมด ซึ่งสิ่งนี้ดีแล้วครับ แต่ลองหันมามองต่อยอดกัน โดยทำเลือกกับบางกลุ่มที่คุณสนใจเป็นพิเศษก็ได้ครับ เพราะลูกค้าอาจจะได้รับการบริการที่ตรงใจใช่เลยเพิ่มขึ้น หรือเหมาะกับพฤติกรรมกับกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น เสมือนว่าเรารู้ใจกลุ่มเป้าหมาย

ถ้าคุณอยากจะคอนโดสักแห่งกับกลุ่มเป้าหมาย 2 กลุ่ม คือ พนักงานออฟฟิต กับกลุ่มครอบครัว ข้อความที่อยากจะสื่อสาร หรือรูปภาพต่างๆ คงใช้ข้อความเดียวกันน่าจะตอบโจทย์ได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้ากลับมุมลองแบ่งข้อความที่จะสื่อกับพนักงานออฟฟิต เช่น "คุณเบื่อปัญหารถติดหรือเปล่า?" แต่ถ้าเป็นกลุ่มครอบครัว อาจจะเขียนเป็น "ครอบครัวอยู่กับอย่างมีความสุขกับบ้านแห่งความสุขของทุกคน" อันนี้ผมลองยกเป็นตัวอย่างให้

คราวนี้ถึงหน้าที่คุณๆแล้วครับ ว่าคุณได้แบ่งกลุ่มเป้าหมายไว้แล้ว ลองแตกแขนงแบ่งออกมาเพิ่ม มาเจาะเกราะติดดูว่ากลุ่มเป้าหมายนี้ชอบอะไร มีงานอดิเรกยังไง หรือเรื่องที่กลุ่มนี้กำลังสนใจอยู่

เล็กๆน้อยๆในมุมที่เปลี่ยนไป อาจกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าเกิดรอยยิ้ม หรือประทับใจมากขึ้น แล้วแปรเปลี่ยนเป็นลูกค้าของคุณได้นะครับ

ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจากรายการ Begin Japanology ช่อง Voice TV ครับ

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

เกมเศรษฐี vs เกมบันไดงู มาเจอกันจะเกิดอะไรขึ้น??

ครั้งที่แล้วผมเขียนเรื่องเกี่ยวกับเกมบันไดงูไป วันนี้มีอีกหนึ่งเกมกระดานสุดคลาสสิกมาเล่าให้ฟัง คือ "เกมเศรษฐี" ครับ ใครเคยเล่นเกมเศรษฐีบ้างขอดูมือหน่อย (ผมสัมผัสได้มีคนไม่ยกมือ อิอิ) ไม่ว่าจะเล่นแบบเกมกระดาน, แบบมือถือ หรือแม้แต่แบบ application ชื่อดัง

เกมเศรษฐีมีจุดมุ่งหมายคือ เพื่อความสนุกสนานบันเทิงเริงใจ และรอดูเพื่อนๆ ในวงทอยลุกเต๋าให้มาตกช่องของเราที่เราได้ซื้อโฉนดไว้ บ้านหนึ่งหลังไว้ โรงแรมหนึ่งแห่งเอาไว้ หรือถ้าแบบใน application ก็คือแบบสร้างแลนด์มาร์ค ใครตกลงมาก็ต้องจ่ายค่าผ่านทาง หรือค่าเสียหายที่เดินมาแวะผ่านช่องของเรา

แต่ว่าเราจะชนะเกมกันยังไง ก็คือเหลือผู้เล่นคนเดียวคนสุดท้ายในเกมใช่มั้ยครับ (คนอื่นก็แพ้ไป เพราะเราได้เงินในเกมมาทั้งหมด) เกริ่นมาตั้งนานแล้วความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างเกมเศรษฐีกับเกมบันไดงูที่มาพบกันแบบไม่ได้นัดหมายลงเวลาจองไว้ คืออะไรล่ะครับ...



เวลาเล่นเกมบันได้งูเราจะมุ่งไปหาช่องสุดท้ายของเกม แม้แต่ละตาจะโชคดี ได้ขึ้นบันไดเดินหน้าไปหลายช่อง หรือดวงตกร่วงกราว ลงมาหลายช่องเพราะเจ้างูบ้าง เดินครบหนึ่งรอบก็จบเกมกันไ

ส่วนเกมเศรษฐีเราเดินหมากแบบวนไปเรื่อยๆ เมื่อผ่านจุดเริ่มต้นทุกครั้งเราจะได้เงินเดือนเพิ่มในเกม เราจะเดินวนแบบนี้กันไปเรื่อยๆ ถ้าเจอป้ายคำสั่งให้ถอยหลัง หรือหยุดไปพักที่เกาะร้าง 3 ตา ก็ออกมาเดินต่อได้ในที่สุด

ถ้าเอาเกมทั้งสองที่ผมบอกไป มาเทียบกับสิ่งที่ผมเรียกว่า "เกมการเดินของลูกค้า" ในธุรกิจของคุณ เกมบันไดงูเดินรอบเดียวจบแล้วเลิกเล่นเกมตานั้นๆไป ก็เหมือนลูกค้าเดินไปซื้อของคุณครั้งเดียวจบ แล้วก็บายบายลาก่อนจากกันไป แต่เกมเศรษฐีเป็นอีกแบบหนึ่งเลย คือ การเดินทางของลูกค้าที่เข้ามาซื้อของคุณ แล้วก็สามารถวนกลับมาซื้ออีกได้ เหมือนเดินมาถึงช่องจุดเริ่มต้นเสมอๆ เรื่อยไป

คำถามที่น่าถามธุรกิจของคุณๆ คือว่า การเดินทางของลูกค้าตอนนี้เป็นแบบไหนครับ ลองเขียนออกมาเป็นรูปดู คุณจะได้รู้ว่าการเดินทางของลูกค้าไปเป็นตามที่คุณจริงๆ หรือไม่

ขอบคุณภาพจากกูเกิ้ลครับ ถ้าชอบหรือไม่ชอบกันอย่างไรฝาก Comment กันได้ครับ
#marketingchachacha
#การตลาด3ช่า

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

"ทอยลูกเต๋า⚂...ตกช่องงูซะอย่างงั้น"

ทุกคนน่าจะเคยเล่นเกมกระดานสุดฮิตอย่างเกมบันไดงูใช่มั้ยครับ เกมที่จุดหมายเพื่อไปให้ถึงเส้นชัยก่อนคนอื่นๆ ที่ร่วมเล่นในรอบวงด้วยกัน

มาทวนกติกามารยาทการเล่นกันหน่อยดีกว่า ตัวช่วยที่ทำให้ถึงเร็วขึ้น คือ บันได ตกช่องนี้ก็จะได้เลื่อนไปช่องที่สูงกว่าหรือบนกว่า

ส่วนตัวไม่ช่วยก็คือเจ้างูที่ชอบพาดตัวเลื้อยยาว พอตกช่องนี้มีแต่ร่วงกราวเลยครับพี่น้อง

ผมไม่ได้พาทุกคนมาเล่นเกมบันไดงูธรรมดานะครับ อยากให้ทุกคนลองมองตามผมว่า ถ้าในเกมผู้เล่นบันไดงูของพวกเรามีผู้เล่น 4 คน จะมีเพียงแค่ 1 คนเท่านั้นที่ถึงเส้นชัยก่อน

แล้วถ้าในเกมมีคนเล่น 6 คนพร้อมกัน เช่นเดิมก็จะมีเพียง 1 คนที่ถึงช่อง Finish หรือเส้นชัยก่อนเสมอ

ก็เหมือนการซื้อของจริงๆ ล่ะครับ มีคนหลายคนสนใจเข้ามาหลากหลาย แต่จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เลือกซื้อของคุณนะ



สิ่งที่ผมอยากเปรียบให้ดูคือ...
☞เกมบันไดงู = เส้นทางที่คนคนหนึ่งต้องเดินทาง เพื่อจะหาสิ่งที่เขาต้องการ หรือ Customer Journey
☞ผู้เล่นในเกม = ตัวคนที่สนใจ ในผลิตภัณฑ์ของคุณเอง หรือ Potential Lead
☞ช่องเส้นชัย = จุดที่คนที่สนใจ ผลิตภัณฑ์ตัดสินใจซื้อ หรือจ่ายเงินให้คุณ
☞ช่องบันได = ตัวช่วยหรือตัวกระตุ้น ให้คนที่สนใจตัดสินใจได้เร็วขึ้น, มีความประทับใจมากขึ้น, อยากจะซื้อเร็วขึ้น
☞ช่องเจ้างู = ตัวฉุดรั้งให้คนที่สนใจไปไม่ถึง จุดที่จะซื้อของเราสักที อาทิ กระแสข่าวในทางไม่ดี, บริการไม่ประทับใจ เป็นต้น


สิ่งที่ผมอยากแนะนำคือให้คุณลองเขียนเส้นทางของลูกค้าคุณว่าก่อนจะควักเงินออกมาซื้อของคุณต้องฝ่าด่านอภินิหารอะไรบ้าง ผ่านช่องทางไหนบ้าง

ตอนต่อไปผมจะมาแนะนำต่อว่า เราเขียนเส้นทางบันไดงูของคุณได้อย่างไร แบบง่ายๆ กันครับ

ชอบไม่ชอบบทความนี้อย่างไรแนะนำกันได้ครับ และขอบคุณภาพประกอบจาก Google ครับ

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

เข้า-เป๋า-เป้า-เรา!!!

“ยุคนี้จะทำอะไรก็ต้องแตกต่าง” ผมยกวลีนี้ เป็นวลีแห่งชาติเลยครับ ไปไหนมาไหนก็พูดประมาณนี้กัน ก็เลยงงตัวเองว่า “เรามาถึงจุดจุดนี้ได้อย่างไร” แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้แตกต่าง แล้วมันจะแตกต่างอย่างไง เขียนไปเขียนมา นึกว่าคำถามโลกแตก ประมาณว่า “ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน?

สิ่งหนึ่งที่หลายๆคนน่าจะทำให้แตกต่างได้เสมอเลย คือ ทำที่ตัวเราเองพอครับ อย่างเพิ่งไปมองคนอื่น หรือธุรกิจอื่นในท้องตลาด เริ่มจากเราเองให้ต่างจากเดิมที่เคยเป็นมา ผมว่าอันนี้ก็แตกต่างแล้ว วิธีที่ผมอยากให้ทุกคนลองทำให้ ต่างแตก เอ๊ย!!! แตกต่าง (มุกแบบนี้ก็กล้าเล่นนะผมเนี่ย) ผมเรียกว่า “เข้า เป๋า เป้า เรา” อย่าเพิ่ง งง ครับ (รู้นะว่า งง กันอยู่ และอย่าเพิ่งคิดไปกันไกลนะครับ) ผมจะเล่าให้ฟังครับ


“เข้า” ในที่นี้คือ ทำให้การตบาดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณ เอาแบบแนบชิดใกล้ รู้ลึก รู้จริง แบบถึงลูกถึงคนเลย เพราะอะไรหรอครับ เดี๋ยวนี้ลูกค้าบางคนซื้อ เพราะความสนิทใจ ความสบายใจ ความเอาใจใส่ พูดง่ายๆ เท่ากับ “รู้ใจ”ลูกค้าว่าต้องการอะไร เราตอบสนอง Need ลูกค้าได้แบบพอดิบพอดี

“เป๋า” ข้อนี้ผมว่า คุณน่าจะพอเดาได้ ว่าผมจะพูดถึงเรื่องเงินๆทองๆนั่นเอง เดี๋ยวนี้งบประมาณการติดต่อลูกค้า ผมว่านับวันจะยิ่งราคาไม่สูงเท่าไรแล้ว ถ้ามองหาช่องทางดีดี คุณสามารถลดต้นทุนจากเรื่องพวกนี้ได้ด้วยครับ อยากส่ง SMS เดี๋ยวมีบริการรับส่ง SMS เป็นแบบ Lot ใหญ่ หรือแม้แต่การส่งอีเมล ก็มีเครื่องมือที่สามารถส่งอีเมลหาลูกค้าทีละหลายๆรายพร้อมกัน ในราคาย่อมเยาว์ได้

“เป้า” ในที่นี้ ผมจะสื่อถึงกลุ่มเป้าหมายครับ เรื่องนี้หลายคนคงคิดว่าผมเขียนเรื่องเป้าหมายอีกแล้วหรือเปล่า คำตอบ คือ “ใช่ครับ” คำถามแรกที่ผมจะถามคุณก่อนเลย ตั้งแต่ทำการตลาดมาคุณเคยดูกลุ่มเป้าหมายที่เคยตั้งไว้บ้างหรือเปล่า ว่าตอนนี้ยัง work อยู่หรือเปล่า ยังใช้ต่อได้มั้ย หรือต้องเปลี่ยนกลุ่ม หรือหากลุ่มใหม่เพิ่มเติมหรือเปล่า ณ จุดจุดนี้ ถ้ายังไม่ได้ลองดู ผมแนะนำว่าเอามาปัดฝุ่นดูสักครั้ง หรือนั่งวิเคราะห์อีกที คุณอาจได้มุมมองอื่นๆ เพิ่มเติมได้นะครับ

“เรา” ข้อสุดท้ายนี้ ผมจะบอกว่า  คำว่า “เรา” แสดงว่ามีมากกว่า 1 คน หรือ 1 ฝั่ง กระนั้นแล้ว เราของผมในบทความนี้ หมายถึง ตัวคุณกับลูกค้าของคุณ การเชื่อมให้เกิดคำว่า “เรา” ขึ้นมาได้ ต้องมีการสื่อสารออกไป เพื่อให้ระหว่างเราได้คุยกัน คุยเปิดช่องทางให้ลูกค้าได้ติดต่อคุณได้บ้างหรือไม่ หรือให้ลูกค้าต้องไปเปิด Google แล้ว Search หาเอาเอง เดาสุ่มไปเรื่อยๆ ทุกๆ touchpoint คุณต้องพยายามสื่อกับลูกค้าว่าจะสามารถติดต่อคุณได้ทางใดบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเขียนจดหมาย สอดซอง ติดแสตมป์ จ่าหน้าถึงตัวท่านเอง แล้วส่งมาที่ตู้ปณ.ต่างๆ แบบสไตล์คลาสสิก หรือแบบจะแบบรวดเร็วเฟี้ยวฟ้าวดาวลูกไก่ ส่งอีเมลหาก็ได้เช่นกัน ดูวิธีที่น่าจะเหมาะกับแนวทางของคุณ และลูกค้าคุณ เพื่อเราจะได้ติดต่อกันได้

เทคโนโลยีก็มีหลากหลาย กลุ่มคนก็มีมากมาย สุดท้ายอยู่ที่คุณครับ ว่าจะหยิบนี่ผสมนั่น หยิบนั่นผสมนี่อย่างไร ให้ตรงกับแนวทางการตลาดของธุรกิจคุณได้ ไม่มีใครบอกได้ว่าวิธีนี้ไหนดีเริ่ดที่สุด แต่คุณเองจะบอกได้ว่าวิธีไหนที่ไม่เหมาะกับคุณ หรือไม่น่าทำแบบนี้อีก จากการทำบ่อยๆ ทำซ้ำนะครับผม

ขอบคุณภาพประกอบจาก Google ครับ #การตลาด3ช่า #marketingchachacha


x

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

ขนมชั้น กับการตลาด เข้ากั๊นเข้ากัน!!!

การตลาด 3 ช่า วันนี้ขอเสนอในท้องเรื่อง..."ขนมชั้น กับการตลาด เข้ากั๊นเข้ากัน!!!"

หลายคนเคยได้ยินและเคยได้ทานขนมชั้นกันแน่นอน เช่น ขนมชั้นเก้าชั้นของร้าน99พี่น้อง เป็นต้น แล้วหลายคนคงกำลังงงงวย ว่าขนมชั้นกับการตลาดเกี่ยวกันได้อย่างไร?



การตลาดจริงๆ แล้ว ถ้ามาลองแบ่งแบบสไตล์การทำขนมชั้น เราจะได้ 2 แบบครับ

แบบแรกขนมชั้นไม่มีชั้น ในใจคุณคงคิดว่าแล้วจะเรียกขนมชั้นได้อย่างไร คุณเคยทานขนมชั้นแบบรูปดอกไม้หรือเปล่า? วิธีทำจริงๆคือเอาขนมชั้น 1 ชั้น (1 แผ่นนั่นเอง) แล้วเอามาดัดพับจนกลายเป็นรูปดอกไม้สวยงาม จริงๆ หมายถึงการตลาดทั่วๆไปที่ทำไปถึงโดยตรงลูกค้าเลย ไม่ผ่านใครใดๆ เลย พุ่งตรงแบบ 4 คูณ 100 มาหาเราทันที หรือภาษาอังกฤษ Single Level Marketing ถ้าเปรียบเทียบคือ แคมเปญทางการตลาดทั่วไปที่เราเจอในชีวิตประจำวันนั่นเอง ที่วิ่งมาหาแบบกระแทบตากระทบใจครับ


ไม่ว่าจะเป็นแบบชิงโชค สะสมคะแนน ให้กด Like และ Share หรือส่วนลดต่างๆ จุดที่อยากเน้น คือ การทำการตลาดแบบขนมชั้นแผ่นเดียวนี้ องค์กรจะทำโดยตรงมาถึงผู้บริโภคเลย หรือถ้าผ่านไม้สองไม้สาม เช่น พ่อค้าคนกลาง ผู้บริโภคก็จะยังได้แคมเปญแบบเดิมตามที่ได้สื่อสารออกมาครับ ฉะนั้นการสื่อสารในกลุ่มนี้จะเป็นการหว่านทั่วไทย ไปที่ไหนก็ต้องเห็น เปิดโทรทัศน์ช่องไหนต้องเจอ วิทยุคลืนไหนก็ต้องได้ยินครับ

และอีกแบบก็คือขนมชั้นปกติทั่วไป หลายที่จะเน้นความมงคลด้วยเลข 9 ขนมเลยมี 9 ชั้นการตลาดแบบนี้หลายคนอาจงงว่าเป็นการตลาดแบบทำกับลูกค้า 9 ชั้นเลยหรอ ตอบสั้นๆว่า "ถูกต้องนะครับ!!!" แต่ไม่ได้ให้ทำ 9 ชั้นเป๊ะนะ อันนี้ผมแค่เปรียบเปรยให้เห็นภาพตาม หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Multi Level Marketing ขอแบบสั้นๆ คือ MLM หรือบางคนอาจจะคุ้นเคยว่า การตลาดแบบเครือข่าย (อันนี้ผมไม่ได้มาชวนทำเครือข่ายนะครับ) เพราะการตลาดแบบนี้จะทำกับลูกค้าในหลายๆ ชั้นลงไป

ถ้าลองมองอีกมุมหนึ่ง การตลาดแบบนี้คือ การทำการตลาดที่ไม่ได้ทำโดยตรงกับลูกค้า เช่น การทำแคมเปญกับตัวแทนจำหน่าย ซึ่งตัวแทนจำหน่ายก็จะขายของให้ลูค้าต่อไป จากตัวอย่างก็ลองนึกภาพตามว่าแคมเปญที่ถูกส่งมาไม่ได้วิ่งมาลูกค้าโดยตรงแต่ต้องผ่านตัวแทนก่อนนั่นเอง หรือผมจะเรียกกลุ่มนี้ว่า การตลาดกับดีลเลอร์, พ่อค้าคนกลาง, ยี่ปั๊ว, ซ่าปั๊ว ครับ

ติดตามเรื่องราวการตลาดแบบใกล้ๆตัวเราได้ที่นี่ครับ

ชอบหรือไม่ชอบกันอย่างไร ฝากคอมเม้นต์กันด้วยครับ ขอบคุณครับ
และขอบคุณรูปจาก Google ครับ

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

โดเรมอน ตอน ลูกชิ้นปลาทำเอง

โดเรมอน ตอน ลูกชิ้นปลาทำเอง (ให้นึกภาพและเสียงตามไปด้วยนะครับ)

ผมชื่นชมหลายๆ ร้านอาหาร ร้านขนมนมเนย ร้านงานฝีมือ หรือร้านอะไรก็ตามที่บอกว่า ร้านเรา Hand Made ทั้งหมด เพราะผมว่าคุณได้ใส่ความพิถีพิถันลงไปในทุกๆ ชิ้นงาน ผมว่าเป็นเรื่องที่ดี หรือเพิ่มมูลค่า Value added ให้กับธุรกิจขหรือผลิตภัณฑ์ของคุณได้

แต่แล้วเรื่องบางอย่างก็ คดีพลิก!!! (ถ้าในทีวีคงมีดนตรี และแดนเซอร์เต้นประกอบเพลงด้วย) ร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังในซอยบ้านผม (สำหรับซอยแถวบ้านผมร้านนี้ดังมากกกกกกกกกก) เป็นร้านที่เปิดมานาน (ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะมากกว่า 5 ปีแน่ๆ) และทุกคนรับรู้จากป้ายหน้าร้านที่เขียนว่า “ลูกชิ้นปลาทำเอง สูตรมาจากอะไรสักที่ผมจำไม่ได้แล้ว” ไปกินกี่ครั้งก็อร่อย รสชาติดี ราคาแพงขึ้นตามปีพุทธศักราช ขึ้นแล้วไม่เคยไหลลงมาย้อนกลับมาราคาเดิมบ้างเลย

วันหนึ่งผมก็ได้ข่าวจากคนแถวบ้านว่า “ร้านนี้เอาลูกชิ้นมาจากยี่ห้อหนึ่ง ไม่ทำเอง โกหกพวกเรามาตลอดหลายปี” 
ผมก็ฟังหูไว้หูก่อน ผมก็ไปทานร้านนี้ตามปกติที่มีโอกาสว่างไปทาน แต่แล้ววันนั้นก็มาถึง ที่บ้านผมก็นั่งทานก๋วยเตี๋ยวกันอย่างเอร็ดอร่อย เพลิดเพลินพุงกับสบายจิต ทันใดนั้นเองพนักงานชาว AEC ของร้านนี้ ยกกะละมังลูกชิ้นออกมาเติมที่หน้าร้าน สงสัยจะหนักเลยแวะพัก วางไว้ตรงเยื้องๆ โต๊ะที่ผมนั่ง


อยากรายงานแบบรายการเชฟกระทะเหล็กว่า...
“คุณชาคริตครับ เชฟควงกระชอนลวกก๋วยเตี๋ยว ร้านนี้ใช้ลูกชิ้นยี่ห้อ ABC เป็นส่วนประกอบหลักในเมนูชามนี้ และขณะนี้ทางร้านยังไม่ได้แกะออกจากถุงเลย มาสดๆ เห็นเต็มตา ทั้งลูกชิ้นปลากลม รักบี้ และลูกชิ้นกุ้งครับ”
บ้านผมเห็นแบบนั้นก็เงิบแปปครับ และที่สำคัญโต๊ะอื่นๆ ก็เห็นกันจังจังเลย เราก็กินกันไปเรื่อยๆ จนไปจ่ายเงินหน้าร้าน
อาเฮียเชฟควงกระชอนของผม ก็ตะโกนเรียกแขกไป และลวกเส้นไปพร้อมกันว่า “ก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ ลูกชิ้นทำเอง สูตรจากเมืองเมโซโปเตเมีย (อันนี้ขอตั้งให้ เพราะจำชื่อไม่ได้จริงๆครับ)” ในใจคิดว่า “เอิ่มมมมม เฮียครับเข้ารู้หมดแล้วครับว่าร้านเฮียใช้วัตถุดิบอันเลอค่าจากร้านไหน”

ถ้าถามผมว่าจะยังไปกินร้านนี้อยู่หรือเปล่า ผมว่าผมคงไม่ปลื้มเท่าไรแล้ว ผมคงไม่โทษดิน โทษฟ้า โทษน้ำ โทษลม แต่จะโทษ ทำไมไม่บอกความจริงกับลูกค้าเท่านั้นเอง แบบนี้ผมว่าหลายๆ คนที่อุตส่าห์เดินทางมากินร้านเฮียจากการีวิวต่างๆ ถ้าเจอแบบนี้คงไม่ไหวจะเคลียร์

ถ้าคุณสัญญาอะไรไว้กับลูกค้า หรือบอกอะไรไป ยุคนี้สมัยนี้ลูกค้าจำได้หมดนะครับ 
ฉะนั้นถ้าทำไม่ได้ ก็บอกว่าไม่ได้ อย่าหลอกลวงกันครับ
“ธุรกิจต้องฝืนแล้วเหนื่อย ลูกค้าเหนือย&หนีนะครับ”
ขอบคุณภาพประกอบจาก Google ครับ ‪#‎การตลาด3ช่า‬ ‪#‎marketingchachacha‬

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

ตอนเบิกฤกษ์: แค่กาแฟแก้วหนึ่ง บอกคุณได้ว่า...

สวัสดีครับ ผมนายการตลาด 3 ช่า มารายงานตัวพร้อมกับเรื่องราวเกี่ยวกับการตลาด 

ที่ผมจะมาล้วง แคะ แกะ เกา เม้าท์มอย หอยแมลงภู่ มุ่งสู่ AEC กันครับ 

ผมนักเขียนมือใหม่ ฝากตัวไว้ในอ้อมอ้อมใจทุกท่านด้วยนะครับ
ชอบหรือไม่ชอบอย่างไร แนะนำกันมาได้เลยครับ ขอบคุณทุกความคิดเห็นล่วงหน้าครับ


เปิดหัวเรื่องมา ผมเดาเอาเองว่าต้องมีคนคิดว่า ผมจะพูดถึงร้านกาแฟชื่อดังอย่าง Starbucks ที่ทำ CRM (Customer Relationship Management) หรือการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าได้ดีงามอร่ามหรู ใช่มั้ยครับ...

 

ถ้าคำตอบของคุณ คือ “ใช่” ผมว่าคุณมาถูกทางแล้ว ซึ่งในอนาคตถ้ามีโอกาสผมจะมาเล่า หรือถ่ายทอดประสบการณ์ของผมต่อไปนะครับ แต่สำหรับวันนี้คุณเดาผิดครับ

 

ถ้าคำตอบของคุณ คือ “ไม่ใช่” ผมแสดงความยินดีด้วยครับ คุณได้ไปต่อ!!! ผมจะมาเล่าเรื่อง CRM ในแบบง่ายๆ ผ่านสิ่งเราน่าจะรู้จักกันดี คือ กาแฟ เครื่องดื่มที่หลายๆ คนชอบดื่ม ซึ่งมีทั้งแบบร้อน หรือแบบเย็น หรือแม้แต่แบบปั่น แต่ถ้าใครไม่ชอบดื่มกาแฟ อย่าเพิ่งงอนไปนะครับ คุณก็อ่านได้ แค่ผมใช้ “กาแฟ” เป็นพระเอกในการเดินเรื่องวันนี้

 

“กาแฟ” ถ้าให้ผมแยกส่วนผสมหลักๆ น่าจะมี กาแฟ + สิ่งที่ให้ความหวาน บางที่ใส่น้ำตาล ใส่น้ำเชื่อม ใส่ Syrup ใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาล + กลุ่มครีมเทียม, นมสด, นมข้นหวาน ฯลฯ อันนี้ผมแยกแบบคร่าวๆ นะครับ

 

งั้นคุณช่วยบอกผมหน่อยว่าสูตรกาแฟที่คุณชอบ คือผสมแบบไหนครับ ไม่ต้องออกเสียงตอบผมออกมานะ เพราะยังไงแล้วผมก็ไม่ได้ยิน คุณมีเวลาคิด 10 วินาที เริ่มจับเวลา 10-9-8-7-6-5-4-3-2-1 หมดเวลา!!!

 

มาถึงจุดนี้ คุณต้องมีสูตรกาแฟในใจแล้วนะครับ ถ้ายังให้คิดสูตรกาแฟที่คุณอยากทานก่อน นั่นแน่!!! รู้นะว่ายังไม่ได้คิด อย่าแอบโกงครับ ผมให้เวลาคุณอีก 10 วินาที เริ่มครับ 10-9-8-7-6-5-4-3-2-1 หมดเวลาแล้วครับ!!!



 

เอาล่ะ ให้คิดตั้งนานทำไม หลายคนคงสงสัย ถ้าคุณคือลูกค้าคนหนึ่ง ที่เดินเข้าไปที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง แล้วพนักงานทักทายคุณขึนมาแบบอัตโนมัติว่า... “สวัสดีครับ คุณ (ชื่อของคุณเอง) วันนี้รับกาแฟแบบเดิม (สูตรที่คุณคิดไว้) 1 แก้ว หรือเปล่าครับ” 


คุณว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรครับ???

 

ถ้าทุกคนบนโลกนี้กินกาแฟเหมือนกันก็คงดี แต่อนิจจังทุกคนบนโลกไม่ได้เป็นแบบนั้น ดังนั้น CRM ก็เปรียบเหมือนสูตรกาแฟที่ผมบอกไปข้างต้นแหละครับ ลูกค้าทุกคนก็มีแนวทางที่อยากได้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีคุณสมบัติ คุณลักษณะที่ทำให้ตนเองพึงพอใจ บางคนอยากได้กาแฟดำเปล่าๆ บางคนต้องกาแฟหวานนำ บางคนต้องกาแฟใส่วิปครีมราดคาราเมล

 

ทำให้การบริหารลูกค้าของคุณควรเริ่มต้น คือ การสำรวจดูความต้องการของลูกค้าที่น่าจะใกล้เคียงกัน แล้วนำมาจัดอยู่กลุ่มที่น่าจะไปในแนวทางเดียวกัน แต่ละร้านกาแฟ จึงมีสูตรกาแฟประจำร้านของตนเอง แล้วถ้าลูกค้าอยากได้อะไรเพิ่มเติม บางร้านจึงมีบริการให้เติมน้ำเชื่อมเอง ใส่ผงนู้น ผงนี่เอง หรือแม้แต่เกิดคำถามบางข้อ เพื่อให้ลูกค้าตอบ อาทิ ต้องการวิปครีมมั้ย, รับแบบปั่นมั้ย, รับความหวานระดับปกติหรือไม่

 

การทำ CRM เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกคน คือเรื่องที่ดีเลิศเล่อค่าสุดๆ ครับ แต่ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ เราก็ต้องยอมลงมาทำทางสายกลาง เพื่อรวบรวมความต้องการที่น่าจะไปในแนวทางเดียวกันได้ แล้วค่อยหาสิ่งที่มาช่วยเสริมเติมแต่งภายหลัง ไม่ต้องแปลกใจไปครับ ผมเองไปร้านกาแฟแต่ละที่ สั่งคาปูชิโน่ยังไม่มีร้านไหนเหมือนกันสักร้านเลย แต่ถ้าเจ้าของใส่ใจ ก็จะมีถามคำถามบางข้อเพิ่มเติม เพื่อให้ทำเครื่องดื่มที่น่าจะถูกใจเราขึ้นมาได้ครับ ลองเอาไปปรับใช้ดูกันนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆท่านบ้าง เขียนเรื่องกาแฟจนง่วงแล้ว ลงไปซื้อกาแฟมาดื่มดีกว่า...

 


คำเตือน! ห้ามดื่มเกินวันละสองแก้ว มิฉะนั้นท่านจะนอนไม่หลับ