วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

6 เรื่อง (ควร) น่ารู้จากปากลูกค้าจ้า ภาคจบจริง จูบจริง

ได้เวลามาถึงตอนสุดท้าย ของแฟ้มลับข้อมูลที่ควรรู้จากลูกค้ากันแล้ว 5 ตอนที่ผ่านไป ได้เล่าสิ่งที่ต้องพยายามค้นแคะแกะเกาออกมาให้ได้ ส่วนสุดท้ายก็สำคัญไม่แพ้กันครับ นั่นคือ การตอบสนองต่างๆ หรือ Response นั่นเอง คุณๆลองสำรวจกันนะครับว่า คำถามเหล่านี้เราเคยถามลูกค้าบ้างหรือยัง
.
.
ไม่ทราบว่าคุณพี่ มีอีเมล หรือ LINE ให้ติดต่อได้หรือเปล่าค่ะ
ถ้าไม่สะดวกทางอีเมล จะให้เราส่งรายละเอียดสินค้าไปช่องทางไหนแทน
จะโทรกลับไปแจ้งผล อยากให้เราติดต่อวันไหน และช่วงเวลาประมาณกี่โมง
ให้ติดต่อคุณพี่เลย หรือแฟนคุณพี่ที่มาด้วยกัน
คุณครับ เบอร์มือถือที่ให้มาเลขไม่ครบ 10 หลัก รบกวนช่วยทวนอีกสักครั้ง
ก่อนจะส่งอีเมลรายละเอียดสินค้าให้ ขอทวนที่พี่เขียนมาก่อนนะค่ะ คือ xxx@gmail.com ใช่มั้ยค่ะ
.
.
สิ่งเหล่านี้ที่เรามั่วถามไป ไม่ใช่เอาไปลอยทิ้งขว้างนะครับ เพราะทำให้เรารู้ว่าคนที่เรากำลังสนทนาอย่างเมามัน อยากให้ติดต่อไปผ่านช่องทางไหน เวลาอะไร และที่สำคัญสุดๆ พอเรารู้ว่าจะไปติดต่อกันช่องทางไหน เรื่องที่ตามมาเลย คือข้อจำกัดของแต่ละช่องทางนั่นเอง เพราะว่าถ้าให้ติดต่อ
.
.
ทางมือถือ เราก็จะได้คุยพร้อมฟังเสียงโต้ตอบ แต่ก็ต้องแลกกับการที่ไม่รู้ว่าลูกค้ายุ่งอยู่หรือเปล่า
ทาง SMS เราก็มีพื้นที่ในการเล่าเรื่องจำกัด เพียงไม่กี่ตัวอักษร แต่วิธีนี้ก็ไม่รบกวนลูกค้าเท่าไร
ทาง LINE ข้อความและรูปภาพถูกส่งไปได้ ทว่าถ้าลูกค้าอ่านแล้วยังไม่ตอบเราจะทำอย่างไรต่อไป
ทางอีเมล เราก็ต้องิเริ่มเปิดหัวอีเมลให้น่าสนใจก่อน แล้วเนื้อหาข้างในจะใส่พอสมควร แต่ถ้าเป็นอีเมลที่ไม่รู้จัก อีเมลจะไปถัก Junk หรือ Spam ไปได้


.
.
การโต้ตอบ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า เป็นเรื่องที่ดีงามอร่ามใจกันอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้พอดี และไม่รบกวนจนน่ารำคาญ ผมว่าคุณต้องดูช่องติดต่อที่ลูกค้าประสงค์จริงๆ และเก็บมาให้ได้ว่า สิ่งที่เราติดค้างลูกค้าอยู่คือเรื่องอะไร แล้วส่งประเด็นนั้นจังจังเข้าไป เพื่อไม่ให้ไขว้เขว่โหวงเหวงไป จนงงว่านี่คุณส่งอะไรมา!!! ถ้าคุณมาดีงามตั้นแต่ต้นแล้ว เตรียมปิดการขายจะได้เร็วๆ แต่ดันติดต่อลูกค้าไม่ได้ หรือสานต่อหลังจากนั้นไม่ได้ แบบนี้ที่ทำมาก็เทกระจาดกันหมดครับพี่น้อง ครบถ้วนทั้ง 6 ข้อมูลที่ควรหาจากลูกค้าไปแล้ว ลองนำกลเม็ดเด็ดพรายเหล่านี้ไปใช้กันดูนะครับ คุณอาจจะได้แฟ้มข้อมูลลูกค้าที่มีค่ามหาศาลสำหรับธุรกิจของคุณได้ ในเวลาเพียงไม่นานนั่นเอง แล้วครั้งหน้า #การตลาด3ช่า จะมีอะไรมันส์ๆทางการตลาดมาเม้าท์มอยให้ฟัง ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

6 เรื่อง (ควร) น่ารู้จากปากลูกค้าจ้า ภาค 5

เรื่องของประสบการณ์ของลูกค้า (Experience) เป็นหนึ่งเรื่องที่นักขาย หรือนักการตลาด ห้ามปล่อยเลยเด็ดขาด ถ้าลืมจะพาไปศาลไคฟง พบท่านเปาแน่นอน ผมมี 2 มุมมองที่ต้องใส่ใจอย่างแรง อันแรกมาแรงแซงโค้ง คือประสบการณ์ครั้งที่แล้ว ตอนที่มาซื้อของกับเรา และอีกอันคือประสบการณ์ที่ลูกค้าคนเดิมของเรา ที่เพิ่มเติมคือไปเยี่ยมเยือนคู่แข่งในตลาดเดียวกัน
.
.
มาเจาะลงลึกถึงก้นบึ้งหัวใจอันที่ 1 กันก่อน ในฐานะคนขายเคยรู้มั้ยครับว่า ลูกค้าคนนี้เคยซื้อของเรามาแล้ว และซื้ออะไรไปบ้าง ส่วนนี้ต้องอาศัยข้อมูลที่มาป้อนให้คนขายได้ทราบ แต่สิ่งที่มีมากกว่านั้นคือ คร่าวที่แล้วที่ซื้อไป ลูกค้าแฮปปี้ดี้ด้า เพลิดเพลินเจริญใจ หรือกลายเป็นอีกแบบ ไม่ปลื้มแทบอยากคืน บริการหลังการขายแบบทิ้งขว้าง มุมพวกนี้เราต้องรู้ท่าทีก่อนนะครับ ไม่ใช่รู้ว่าเป็นลูกค้าเก่า ก็จัดหนักยัดการขายลูกเดียว ลองถามสักนิด ครั้งที่แล้วซื้อไปเป็นอย่างไรบ้าง ของใช้ได้ดีหรือเปล่า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราสนใจ หรือใส่ใจในเสียงเล็กๆของเขานะครับ


.
.
ว่าข้อแรกหรรษากันไปแล้ว มาดูข้อนี้จะยิ่งสำราญบานใจมากขึ้น หรือเปล่า??? เพราะลูกค้าคนน่ารักของเรา ได้ไปพบปะติดต่อกับบริษัทอื่นๆ เพื่อซื้อของที่ใกล้เคียงกัน บางทีการตัดสินใจอาจจะมาจากการบริการแทนก็ได้ สิ่งที่เราควรถามแบบน่ารักอ่ะ คือ พี่มีเคยไปดูสินค้าแบบแนวนี้ของที่อื่นหรือเปล่า หรืออาจจะไม่ต้องถามก็ได้ ช่วงที่เราให้ข้อมูลลูกค้า อาจจะมีการเปรียบเทียบในใจอยู่ พอเราให้ข้อมูลบางจุด ลูกค้าก็อาจจะโผล่สัญญาณบางอย่างขึ้นมาได้ เช่น อีกยี่ห้อเค้าปริมาณตรงนี้เยอะกว่าของน้องนะ, ที่นี่มีแบบแพ็คเกจเดียวหรอ เพราะอีกทีเค้ามี 3-4 แบบให้พี่เลือก แนวนี้แหละครับ เรารู้ได้เลยว่าเรากำลังเป็นหนึ่งในตัวเลือกของลูกค้า ถึงเวลาที่ต้องปล่อยพลังหมัดชุดสุดท้าย เพื่อตรึงใจลูกค้ารายนี้ให้ได้นั่นเอง
.
.
ประสบการณ์ก็เหมือนเจ้าบ้านเจ้าเรือน เราไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า แต่บางทีเราก็รู้สึก หรือสัมผัสได้นั่นเอง แล้ววันนี้คุณสัมผัสสิ่งนี้จากลูกค้าบ้างหรือยังเอ่ย...

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

6 เรื่อง (ควร) น่ารู้จากปากลูกค้าจ้า ภาค 4

ได้เวลามารวบรวมแฟ้มข้อมูลลูกค้ากันต่อแล้ว ตอนวันนี้ผมจัดมาให้อีกหนึ่งเรื่อง นั่นคือเจ้า Wishlist ครับ หลายคนอาจจะพอได้ยินคำนี้กันมาบ้าง หรือบางคนก็แอบคิดในใจว่า "ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย" งั้นตอนวันนี้ผมเริ่มจาก มาอธิบายความหมายคำนี้กันก่อนดีกว่า Wishlist ในหัวข้อของ "6 เรื่อง (ควร) น่ารู้จากปากลูกค้าจ้า" ภาคนี้ คือสิ่งที่ตัวเราปรารถนาอยากได้ อยากมี อยากเป็นเจ้าของ อยากครอบครอง พูดสั้นๆ คือเราอยากนั่นเองครับ หรืออีกแบบคือ บางคนอาจจะมีของที่อยากมอบให้คนอื่นแทน อันนี้ก็ไม่ผิดนิยามของ Wishlist เช่นกันนะครับ แต่สิ่งที่ต้องการเนี่ย บางคนอาจจะเป็นของชิ้นเล็กพอกรุบกริบน่ารักคิกคุก บ้างก็ใหญ่โตโอฬารอลังการงานสร้างดาวล้านดวง อันนี้ก็ไม่ว่ากันนะครับ จัดได้ตามอัธยาศัยเลย
.
.
แล้วคราวนี้ Wishlist มาเกี่ยวดอง กับสิ่งที่เราควรต้องรู้จากลูกค้าล่ะครับ มาดูสถานการณ์นี้กันดีกว่า ผมยกตัวอย่างของผมเองเลย ผมเคยชอบคนคนหนึ่งอยู่ครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้เป็นสถานะอะไรกับเขาคนนั้น เอ๊ะทำไมมันดูเหมือน Club Friday พี่อ้อยพี่ฉอดมารอแล้วล่ะ ไม่ใช่ ไม่ใช่ อันนี้ "การตลาด3ช่า" กลับมาที่ตัวอย่างกันต่อ ผมก็รู้ว่าคนคนนี้ชอบโดเรมอนอย่างแรง พอถึงวันเกิดของคนพิเศษคนนี้ ผมก็อยากให้ตุ๊กตาแมวสีน้ำเงินตัวนี้ หน้าที่ของผมก็คือ เดินไปที่แผนกขายตุ๊กตาในห้างสรรพสินค้า โดยสแกนตาซ้ายขวาไปทั่วๆ เพื่อหาการ์ตูนตัวนี้ พอเจอแล้วพนักงานก็ถามว่า อันนี้จะซื้อขนาดไหนดีครับ ผมก็ตอบไปว่าเอาตัวนี้ พนักงานสาวก็ถามต่อว่า ซื้อไปเป็นของขวัญหรือเปล่า ผมก็ตอบว่าใช่ หลังจากนั้นพนักงานก็หายไปหลายนาทีอยู่ จนงงว่าไปจ่ายเงินทำไมหายไปนานจังอ่ะ ผ่านไปสักพัก ก็ถึงบางอ้อ เพราะพนักงานคนสวยไปห่อของขวัญมาให้เสร็จสรรพแบบอัตโนมัติเลย
.
.
พอเห็นภาพความสำคัญของ Wishlist ขึ้นมาหรือเปล่าครับ บางครั้งการซื้อของ ตัวเราเองอาจจะซื้อของให้ตัวเอง บางครั้งก็ซื้อของให้คนอื่นๆ พอเป็นแนวนี้ ถ้าเรารู้ว่าลูกค้ามีความต้องการสินค้าชิ้นนี้อยู่แล้ว ถ้าทำเหมือนคนอื่นๆ ความรู้สึกก็คงไม่ต่างกันเวลาไปซื้อกับใครก็ตาม ถึงเวลาที่คุณต้องพยายามใช้คำถามกลุ่มนี้ เพื่อดูว่าการมาซื้อของครั้งนี้อยู่ในกลุ่ม Wishlist บ้างหรือเปล่า เช่น "ซื้อเนื่องในโอกาสพิเศษใช่มั้ยค่ะ" "ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายซื้อของชิ้นนี้ไปให้คนพิเศษหรือเปล่า" คำตอบที่ออกมาจากปากของลูกค้า บอกว่า "ใช่" แล้ว เราก็มีหน้าที่ทำให้การซื้อของครั้งนี้ของเขา มีความพิเศษมากขึ้น เพื่อสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกลางใจของลูกค้านั่นเอง การทำแบบนี้เราได้ใจลูกค้าไปเต็มประตู และเกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันนั่นเองล่ะครับ
.
.
แล้วคุณล่ะมี Wishlist ในใจอะไรบ้างครับ???

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

6 เรื่อง (ควร) น่ารู้จากปากลูกค้าจ้า ภาค 3

มาถึงครึ่งทางพอดีเปีะ สำหรับภาคที่ 3 ของ ตอนพิเศษเกี่ยวกับการคุยหรือสนทนากับลูกค้า เพื่อค้นหาประเด็นที่ไม่ควรพลาดเด็ดขาด 2 ตอนที่ผ่านมา ผมได้แนะนำไปแล้วเกี่ยวกับการเก็บรายละเอียด เพื่อให้รู้ว่าคนที่เราคุยอยู่ใช่ตัวจริงเรื่องการเคาะซื้อหรือไม่ และจับสังเกตให้ชัดเจน สำหรับว่าที่ลูกค้ารายนี้จะซื้อของเราในจังหวะนี้เลยหรือเปล่า เอาล่ะครับ ถึงเวลาข้อมูลที่ 3 ที่เราต้องเก็บรวบรวมลงแฟ้มข้อมูลของลูกค้ากันเลย
.
.
ผมเรียกว่า "Specification" หรือที่คนไทยใช้แบบย่อๆว่า "สเป็ก" หรือ "Spec" นั่นเอง ทำไมเรื่องนี้ถึงเป็นสิ่งที่ต้องควรรู้ให้ได้แบบเร็วๆ เพราะมันเป็นเรื่องราวภายในจิตใจ ของลูกค้าที่น่ารักของเรานั่นเองครับ ให้ผมเปรียบง่ายๆ ก็คงเหมือนเรามีสเป็ก ชายหรือหญิงในฝันของเรา คนในอุดมคติที่เราวาดไว้เป็นคนรักของเรา หรืออยากมีบ้านสักหลังหนึ่ง อยากให้มีกี่ห้องนอน กี่ชั้น บ้านตกแต่งแบบโมร็อคโค เสาในบ้านต้องเป็นหินอ่อนโรมัน เอาแบบยกมาจากยุคเมโสโปเตเมีย อะไรประมาณนี้ล่ะครับ ผมเชื่ออยากหนึ่งว่าลูกค้ามาอุดหนุน หรือยอมจ่ายเงินให้เรา ด้วยเหตุผลที่ว่า สินค้าของเราตอบโจทย์สมการความต้องการในใจของลูกค้าได้ นี่เป็นสิ่งสำคัญในมุมมองการตลาดเลย เมื่อความต้องการทั้งคนขาย กับคนซื้อมารวมพลังรวมตัวเป็นหนึ่งกันได้เป๊ะเลย



.
.
ถ้างั้นคำถามแบบไหนล่ะ ที่จะทำให้เรารู้ว่าคนที่ยืนตรงหน้าเราตอนนี้ต้องการอะไร ผมมีตัวอย่างมาฝากกันครับ ลองถามแบบเปิดใจแบบยิ้มแย้มแจ่มใสว่า "วันนี้คุณลูกค้ากำลังมองหาสินค้าอะไรอยู่หรือเปล่า" "ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มสามารถสอบถามได้เลยนะครับ" "ไม่ทราบว่าดูสินค้าตัวนี้เปรียบเทียบกับสินค้าไหนอยู่หรือเปล่าค่ะ" แนวคำถามนี้เป็นเพียงใบเบิกทางให้คุณได้เริ่มรู้ "สเป็ก" ของคนที่เรากำลังสนทนาอยู่ด้วย พอลูกค้าเริ่มเอ่ยปากบอกแล้ว เราก็พยายามค่อยๆให้ข้อมูลไป ฟังคำพูดของลูกค้าไปพร้อมกัน เพื่อจูนสัญญาณความถี่สิ่งที่ต้องการให้พอดีกันนั่นเอง เมื่อปรับคลื่นตรงกันแล้ว โอกาสทางการขายก็จะสะดวกมากขึ้นแล้วนั่นเอง
.
.
คุณผู้อ่านครับ ก่อนจากไปของตอนนี้ ผมขอแทรกอะไรสักหน่อย พอรู้แล้วว่าผู้สนใจคนพิเศษรายนี้อยากได้อะไรแล้ว แต่ของเราดันหมดสต็อกเลย อันนี้แอบน่าเสียดายนะครับ การบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ของคุณ ต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอ และให้มีในอัตราส่วนที่พอดีพอดี ถ้ามากไปจะกลายเป็นของค้างเยอะไปด้วยเช่นกันนะครับ ครั้งหน้าผมจะเอาหัวข้อที่ 4 มาฝากกันต่อ อย่าลืมติดตามกันนะครับ

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

6 เรื่อง (ควร) น่ารู้จากปากลูกค้าจ้า ภาค 2

ผ่านไป 1 ตอนแล้วสำหรับ "6 เรื่อง (ควร) น่ารู้จากปากลูกค้าจ้า" ผมทวนแบบเร็วๆว่าจากบทที่แล้ว เรารู้ว่าลูกค้าคนนี้ หรือผู้สนใจรายนี้ เป็นคนที่มีอำนาจการตัดสินใจอยู่กับตัวหรือเปล่า วันนี้มาต่อกันนะครับกับเรื่องที่ 2 ที่ควรสืบเสาะเจาะหาจากลูกค้าให้เจอ
.
.
ส่วนนี้ผมเรียกว่า Now, Next, No มากันแบบสามใบเถาตัวอักษรที่นำหน้าด้วยตัว N เลย สามศรีพี่น้องนี้สำคัญไม่แพ้กันนะครับ ผมให้คำอธิบายกันสักหน่อยก่อนที่จะงงตีลังกาเงยเงิบกันไปก่อน เริ่มจากพี่ชายคนโต N-Now ถ้าคำตอบของคนที่เราสนทนาอยู่ แล้วเรารับแอบจับได้ว่า เตรียมจะซื้อของวันนี้แหละ หรือในอีกไม่กี่นาที พร้อมจะควักบัตรเครดิตหรือเงินสดมาจ่ายแล้ว กลยุทธ์ที่ต้องรีบทำเลยคือ จับให้เจอว่าอะไรที่ผู้สนใจรายนี้ต้องการอย่างด่วนที่สุด ย้ำอีกครั้งว่าด่วนที่สุด พร้อมรวบตึงสิ่งที่คุณคุยตลอดหลายๆประโยคที่ผ่านมา ว่าอะไรคือจุดที่ลูกค้าให้ความสนใจ เช่น ราคาที่เล็งๆไว้ (ตัวเราลดราคาได้มั้ย หรือแถมอะไรเพิ่มเติมได้อีก), ต้องการสินค้าแบบไหน สีไหน ขนาดไหน แล้วของในสต๊อกสินค้าเรามีหรือเปล่า เพราะเมื่อเจอแบบนี้อย่าปล่อยให้หลุดลอยไปนะครับ ภาษานักขายก็คงต้องบอกว่า เตรียมปิดการขายให้ได้ ไม่งั้นหลุดไปงานนี้ยาวเลยครับ
.



.
.
มาถึงชายกลาง N-Next สัญลักษณ์ที่ลูกค้าจะส่งมาให้เราจากแนวนี้ เช่น พี่จะมาถามเป็นข้อมูลไว้ก่อน, โปรโมชั่นนี้มีถึงเมื่อไร, ของชิ้นนี้มีอีกเยอะหรือเปล่า, จะมาถามให้ญาติสนิทเพื่อนมากมายอะไรก็ว่ากันไป หลายๆคนคงคิดในใจว่า เจอวลีแนวนี้ทีไรลูกค้า มาถามไปอย่างงั้นแหละ ไม่ซื้อหรอก มาหลอกให้ตายใจ ผมเข้าใจในมุมที่คุณคิดอยู่ครับ แต่ในลูกค้าหลายๆคน อาจจะตั้งใจมาถามแบบนั้นจริงๆ เพราะวันนี้ตัวเขาไม่พร้อมจะซื้อ ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง แต่สนใจของคุณอย่างถวิลหาแล้ว ลองทำแบบนี้ดูซิครับ ขอเบอร์มือถือ / อีเมล / LINE หรืออะไรสักอย่างที่ทำให้คุณติดต่อเขาได้อีก หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่คุณเองแล้วที่ต้องจับสังเกตต่อไปว่า คนนี้พูดลอยๆ, กำลังรอซื้อจริงๆ, อยู่ใช่วงตตัดสินใจอยู่ หรือแม้แต่เทียบเรากับคู่แข่งก็เป็นได้นั่นเอง
.
.
น้องสุดท้อง N-No เจอคำว่า No ผมว่าหลายคนก็ขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว อย่าเพิ่งวิ่งจากกันไปแบบไม่ได้อะไรกลับมา เพราะคนที่ Say No โบว์ใหญ่กับเรา ก็มีค่านะขอรับ ทำไมล่ะ??? คุณไม่เอะใจหน่อยครับว่า ลูกค้ามาสนทนาถามไปอันนี้ที อันนั้นที อันโน้นที แล้วก็เดินสะบัดบ็อบจากเราไปเลย วันนี้ผมคิดวว่ากรณีแบบนี้ต้องหาข้อมูลแบบลงลึกให้เจอว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอนครับเวลานี้ลูกค้าจากเราไปแล้ว ลองเปลี่ยนวิธีดูเป็นส่งอีเมลไปสอบถามการบริการของพนักงานขายวันนี้ หรือให้ Call Center ติดต่อไปเพื่อถามว่าวันนี้มาเยี่ยมชมร้านเป็นอยย่างไรบ้าง มีอะไรอยากให้ปรับปรุง คำถามพวกนี้แม้ไม่ได้ถามตรงๆว่า ไม่ซื้อฉันเพราะอะไร แต่เราก็เอามาดูการวิเคราะห์ได้เหมือนกัน แล้วนำจุดเหล่านี้ไปลองหาทางออก ดูว่าแก้ไขอะไรได้บ้างหรือเปล่านั่นเองครับ
.
.
เห็นมั้ยครับว่า ทุกคำตอบของลูกค้ามีคุณค่ากับเราเสมอ อยู่ที่เรามองและจะใช้อย่างไรนั่นเอง ครั้งถัดไปจะเป็นส่วนที่ 3 สำหรับการค้นหาข้อมูลดีดีจากคนที่เรากำลังเจรจากันอยู่ ว่าจะเป็นประเด็นไหน เรื่องอะไร ต้องติดตามกันต่อ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าครับ

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

6 เรื่อง (ควร) น่ารู้จากปากลูกค้าจ้า

เคยสงสัยกันบ้างมั้ยครับ ว่าเวลาเราคุยกับลูกค้านู้นนี้นั่นโน่นแล้ว ทำไมลูกค้ายังไม่ซื้อของเราล่ะ??? หรือไม่ตัดสินควักเงินจ่ายสักทีง่ะ 6 ตอนติดต่อเนื่องแบบ Non-Stop ของ การตลาด3ช่า นี้ จะจัดให้กับ 6 สิ่งที่คุณควรรู้จากลูกค้าเสมอ ไม่พูดพร่ำทำเพลงชะชะช่า มาเริ่มค้นหาสิ่งแรกจากลูกค้ากันครับ
.
.
คุณลูกค้าที่แสนน่ารักที่คุณกำลังสนทนาอยู่นี้ ใช่คนที่มีอำนาจอยู่ในมือด้วยหรือเปล่า หรือเป็นคนเคาะปุ๊บซื้อปั๊บได้มั้ย เจ้าสิ่งที่นี้ที่คุณต้องค้นหาให้เจอก่อน เพราะถ้าคุณรู้ว่าคนที่กำลังเจรจาต้าอ่วย มีอำนาจในการซื้อ (Authority) อยู่ในสองมือแบบเต็มกระเป๋า เท่ากับคุณคุยกับคนที่ใช่ ที่เหลือคือพยายามให้ข้อมูลให้ตรงจุด อย่าอ้อมค้อมเกินไปแบบสามทวีปสี่มหาสมุทร เขาอาจจะรอสิ่งที่อยากฟังอยู่ คำถามที่พอช่วยได้ เช่น ปกติพี่ซื้อสินค้านี้ใช้เองหรือเปล่า, ถ้าหนูเสนอราคาไปต้องมีคนพิจารณาด้วยหรือไม่ เป็นต้น




.
.
สมมตินะครับสมมติ ถ้าคุณดันเจอคนที่มาคุยด้วยแต่ไม่ใช่คนมีอำนาจเคาะการจ่ายตังค์ อย่าเพิ่งถอดใจก้มหน้าว่าชะตาฟ้าดินไปครับ ผมอยากบอกว่าคุณก็เจอสิ่งดีดีที่ไม่ต่างกัน เพราะว่าคุณรู้แล้วว่า คนนี้ไม่มีสิทธิ์ฟันธง แต่ยังมีโอกาสไปบอกต่อให้คุณได้ เพียงแค่คุณต้องจับทางให้ได้ เหมือนเวลาขายของเล่นให้เด็กๆ แน่นอนว่าลูกหลานตัวน้อยไม่พกเงิน กลยุทธ์ที่คนขายทำกันบ่อยๆ คือหนูรีบวิ่งสี่คูณร้อยไปบอกคุณพ่อคุณแม่ซื้อให้หนูซิ คุณลูกที่น่ารักก็จะจูงมือปะป๊ามะม้า มาหน้าชั้นของเล่นพร้อม ทำหน้าเบะปาก 12 องศา และเตรียมทิ้งดิ่งลงไปนั่งร้องไห้ฟูมฟายที่พื้นห้างนั่นเอง
.
.
คำตอบข้อนี้ของคนที่ได้เม้าท์มอยอยู่ ไม่ว่าตอบอะไรมามีค่าเสมอกับเรานะครับ อย่าลืมแยกแยะให้ชัดเคลียร์ พอเรารู้แล้ว บทสนทนาถัดไปที่จะเกิดขึ้นคืออะไร ข้อมูลที่ต้องให้รู้มีอะไรบ้าง คำถามที่โดนถามบ่อยๆ ต้องมีคำตอบที่พร้อมเสมอ เท่านี้ คนที่อยู่ตรงหน้าคุณเวลานี้อาจจะเปลี่ยนตำแหน่งจากคนที่เดินผ่านไปมา กลายเป็นลูกค้าคนพิเศษของคุณได้ ตอนหน้าผมจะมาต่อเรื่องที่ 2 กันต่อว่า เราควรถามอะไรจากลูกค้าบ้างนะครับ

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

6 คำตอบจากผู้จัดการด้านการตลาด 200 คนบอกว่า...

วันนี้เปิดมาเป็นคำถามชวนคิดสะกิดสมองกันดีกว่าครับ ผมหยิบผลสำรวจจากต่างประเทศจากเหล่าผู้จัดการอาวุโสด้านการตลาดเกือบๆ 200 คน ซึ่งผลสำรวจ 71% จากคนกลุ่มนี้บอกว่า "ความพึงพอใจของลูกค้ามีความสำคัญ" ด้วย 6 เหตุผลต่อไปนี้ครับ
.
.
ข้อ 1 เป็นเครื่องมือทำให้คุณต่างจากยี่ห้ออื่นๆในท้องตลาด สินค้าในท้องตลาดอาจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่ใส่เป็นมูลค่าเพิ่มได้ คือ สารพัดการบริการที่เราเพิ่มเติมเสริมให้ตรงกับความต้องการได้ หรือให้เหนือสิ่งที่คาดหวังไว้ พอเป็นนี้แล้วคุณลูกค้าก็จะปลื้มปริ่มน้ำตาไหลพรากกับธุรกิจของเรา การทำแบบนี้ลูกค้ารับรู้ได้นะครับ ว่าที่นี่แตกต่างกว่าและทำให้เขารู้สึกสบายใจกว่าได้อย่างไร
.
.
ข้อ 2 เป็นเครื่องมือทำให้ลูกค้าไม่หนีห่างหายหน้าจากเราไป มีผลวิจัยในปี 2008 เคยระบุไว้ว่า สิ่งที่ทำให้ลูกค้า Say Goodbye จจากเราไปไม่ใช่เรื่องของราคานะครับ แต่เป็นคุณภาพของการบริการทั้งหมดองค์รวม ที่น่าเมินหน้าออกมา ไม่ได้มาตราฐานที่ควรจะเป็น ถ้าอยากรู้ว่าเราทำได้มากกว่าหรือน้อยกว่าเกณฑ์นี้ ลองไปดูจากคนอื่นๆในตลาดเดียวกัน หรือธุรกิจอื่นๆที่ได้รับความชื่นชมว่าทำเรื่องนี้ได้ดีงามพระรามเก้านะครับ

ข้อ 3 ช่วยเพิ่มมูลค่าของลูกค้ากับเราได้ยาวนานและมากขึ้น มาถึงข้อนี้ต้องขอยกตัวเลขผลสำรวจมาสักหน่อยครับ ลูกค้าที่รู้สึกพึงพอใจแบบสุดโต่ง (Totally Satisfied Customer) สร้างรายได้ให้กับธุรกิจมากกว่าลูกค้าที่รู้สึกพึงพอใจงั้นๆหรือธรรมดา (Somewhat Satisfied Customer) ถึง 2.6 เท่าเลยนะครับ ลองคิดตามนะครัย ถ้าลูกค้าพอใจเราหนึ่งครั้ง สามารถเปลี่ยนเป็นการซื้อของได้หนึ่งชิ้น แล้วถ้าเราทำให้พอใจได้ตลอด จำนวนสินค้าของลูกค้าก็มีโอกาสเพิ่มขึ้นตามไปได้ด้วย ถึงเวลาที่ต้องถามตัวเองกันแล้วว่า "ตอนนี้เราทำอะไรให้ลูกค้าอยู่กับเราต่อ และกลับมาซื้อซ้ำบ้าง" ล่ะครับ
.
.
ข้อ 4 ช่วยเป็นกระบอกเสียงส่งเรื่องดีที่จะถูกส่งต่อไปยังคนอื่นๆ แน่นอนครับว่า เมื่อเราบริการดี ดูแลดี ใส่ใจดี ลูกค้าก็เกิดความพึงพอใจแน่ๆ เมื่อเขาลูกสึกแบบนี้ก็อยากจะบอกเล่าสิ่งที่ได้รับมาให้คนอื่นได้รู้ด้วย เมื่อรับสิ่งที่ดี ก็ส่งต่อสิ่งที่ดีออกไปนะขอรับ ถ้าเกิดเหตุการณ์กลับด้าน เราดันไปทำให้ลูกค้าไม่พอใจเรา คุณรู้หรือเปล่าว่าคนกลุ่มนี้ประมาณ 13% จะส่งต่อเรื่องที่ไม่โอเคนี้ไปให้คนรอบข้างอีกกว่า 20 คนได้รับรู้ เจอแบบนี้แล้ว "ทำดีได้ดี" งานนี้เห็นจะจริงแล้วครับ
.

ข้อ 5 ประหยัดค่าใช้จ่ายขององค์กรได้ด้วย เพราะต้นทุนการดูแลลูกค้าเก่าจะน้อยกว่าการไปหาลูกค้าใหม่นั่นเอง หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าต้นทุนการหาลูกค้าใหม่สูงกว่า การดูแลลูกค้าเก่าไว้ ผมจะเปรียบให้เห็นแบบนี้ครับ ลูกค้าคนใหม่กว่าคุณจะสื่อสารติดต่อกับเขา ส่งสื่อไปคอยไปยั่วตายั่วใจ ทั้ง Online และ Offline ด้วย กว่าจะได้เดินทางมาหาเราที่ร้านค้า สอบถามน้องพนักงานว่าสินค้าคืออะไร และสุดท้ายเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าในที่สุด พอนึกออกกันหรือเปล่าครับว่า กระบวนการต่างๆที่เกิดขึ้นมีต้นทุนทั้งแบบแฝงและไม่แฝงไปผสมอยู่ทั้งหลาย พอเจอแบบนี้แล้ว ลูกค้าเก่าของเราที่รู้จัก ที่เข้าใจเรา ขั้นตอนเหล่านี้แทบจะหายไปหมดเลย แต่ผมไม่ได้บอกว่าห้ามการหาลูกค้าใหม่ บทความนี้ผมแค่อยากเปรียบเปรยให้ดูระหว่างต้นทุนที่เกิดขึ้น ถ้าอยากจะประหยัดส่วนนี้ลองบริหารจัดการดูนะครับ
.
.
ข้อ 6 เป็นตัววัดที่ดีในรู้ว่าลูกค้าคนนี้รักเราแค่ไหนและพร้อมจะจ่ายเงินซื้ออีกหรือยัง เราสามารถดูความพึงพอใจขของลูกค้าจากการให้คะแนนต่างๆ ผ่านการสำรวจบ้าง ผ่านจุดที่ให้บริการต่างๆบ้าง ทุกคะแนนที่คุรเห็นมีนัยที่กำลังบอกเราทั้งหมดนะครับ ลูกค้ารายนี้กำลังรู้สึกอย่างไร และเราควรเข้าไปจัดการแก้ไขคะแนนที่ไม่เยอะ ให้เปลี่ยนขยับขึ้นมาให้สูงได้ เพียงแต่เราต้องคอยเจาะหาเหตุที่ทำให้ได้แต้มน้อยให้เจอไวที่สุด ยิ่งเจอไวจะได้แก้ไขได้ทัน และเมื่อลูกค้าพอใจด้วยคะแนนสูงๆแล้ว การเป็นตัวแทนของเราในการไปเล่าของดีที่เขาเจอ หรือแนะนำเพื่อนๆมาก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราจะได้จากการรักษาระดับความพึงพอใจนั้นเอาไว้ครับ
.
.
ผ่านไปแล้วกับ 6 เหตุผลที่ทำไม คุณต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจเราให้ได้ตลอดเวลา สิ่งที่อยากถามผู้อ่านได้เห็นว่า การทำในลักษณะนี้มีข้อดีอย่างร เพื่อให้คุณไปลองลงมือดูได้เลยนะครับ เพื่อความสวยงามทางการตลาดที่ คุณได้เนรมิตขึ้นมาได้ จากสองมือของคุณล้วนๆครับ

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ทำให้ดี ทำให้ไว ต้องสื่อได้ ใน5วิ

เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมได้ไปร่วมงาน Capital Talk ครั้งที่ 9 มา มีวลีเด็ดเจ็ดย่านน้ำจากโค้ชสง่า (Sa-nga Pishayangkul)​ สุดยอดวิทยากรด้าน DISC (อ่านว่า ดีไอเอสซี ไม่ใช่ดิสนะ) ที่บอกว่า "เราตัดสินคนที่เจอภายในเวลาเพียงแค่ 7 วินาทีเท่านั้น" ตอนได้ยินถือว่าอันนี้สั้นสุดๆเลยอ่ะครับ แต่ช้าก่อนครับ มีผลวิจัยบอกว่าปกติผู้บริโภคจดจำแบรนด์เฉลี่ยภายในเวลา 6.5 วินาที (On average customers only engage with brands for 6.5 seconds)สั้นกว่าเราตัดสินคนเพียงเสี้ยววินาที แบบนี้เงยเงิบพัดตะเวิ้นเข้าไปอีกซิครับ
.
.
ยังสั้นไม่พอครับ หากแฟนๆ #การตลาด3ช่า คิดว่าที่ได้เล่าไปสั้นสะเทือนใจกันไปแล้ว ผมว่ายังไม่ใช่นะครับ เพราะเวลาของคลิปโฆษณาต่างๆบน Youtube ที่เป็นแหล่งรวบรวมสารพัดสารพันคลิปจากโลกานี้ คุณมีเวลาเพียง 5 วินาทีเท่านั้น ก่อนที่มือของคุณจะเลื่อนไปกด "ข้ามโฆษณา" หรือเอานิ้วจิ้มปุ่ม Skip Ad บนมือถือของคุณ ถ้าสินค้าของคุณโชคดีหน่อย คนที่ดูคลิปโปรโมทของคุณก็ดูต่อไปอีกสักหน่อย แต่ถ้าโชคดีสุดๆแบบโชควิ่งชนคนอมโบตันแล้วล่ะก็ ระยะเวลาที่ดูก็ยาวขึ้นจากหน่วยวินาทีเป็นนาทีนั่นเอง



.
.
แล้ว 5 วินาทีมีค่าสุดๆ เนี่ยมันสั้นแค่ไหนอ่ะ??? ถ้าจะให้ผมเปรียบเที่ยบผมจะยกตัวอย่างนี้ให้ฟังครับ ลองนึกภาพตามผมนะครับ ให้คุณลองพูดประโยคนี้แบบเร็วๆ ครบถ้วน 2 รอบ คุณก็จะรู้ว่า 5 วิ. ที่บอกสั้นแค่ไหน มาลองกันนะครับ ข้อความที่ว่าคือ
"กล้วยตานี ปลายหวีเหี่ยว เหลือหวีเดียว หิ้วหวีไป หิ้วหวีมา" แค่พูด 2 รอบก็หมดเวลาแล้ว ถ้าคุณเป็นนักการตลาด แล้วเจอสถานการณ์บีบคั้นแบบนี้ ผมคิดว่าน่าจะมี 3 ทางมานำเสนอกัน
.
.
วิธี 1: ใช้ 5 วินาทีแบบใส่เนื้อหาเต็มแข้ง ใส่ทุกอย่างแบบบ้าระห่ำลงไปให้หมด ทุกประเด็นที่ลูกค้าควรรู้ เทให้หมดอย่าให้เหลือเลย วิธีนี้ผมว่าไม่โอเคคอย่างแรง นอกจากคนที่ดูแล้วรู้สึกอึดอัดไม่สบายตาหรือสบายหูแล้ว ผมว่าคนดูจำยี่ห้อคุณไม่ได้แน่ๆ เพราะเมื่ออคติไปแล้ว กลายเป็นมืดฟ้ามัวดิน ของคุณดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถทะลุปราการด่านนี้เข้าไปให้จิตใจของคนได้ครับ
.
.
วิธี 2: ใส่เนื้อหาพอเป็นน้ำจิ้ม หรอเลือกข้อเด็ดหมัดทะลวงไส้ เพียงแค่ 1-2 ข้อสั้นๆ พอดูแล้วจะเข้าใจว่าสินค้าของเราคือสิ่งใด ตอบโจทย์แก้ปัญหาอะไรได้กับคนดู แล้วให้ Link เพื่อเปิดโอกาสกดไปหาดูเราเพิ่มเติมทางเว็บไซด์ หรือไปดูคลิปฉบับเต็มต่อ แนวนี้ที่ต้องระวังคืออย่าลืมแทรก Link แบบเนียนๆ ไม่ใช่ใหญ่โตโอเวอร์เกินไป เพราะถ้าคุณทำแบบโจ่งครึมเพื่อให้กดไปต่อ อันนี้ก็อาจจะโดนจับได้นะจ๊ะ
.
.
วิธี 3: ปล่อยเนื้อหาใน 5 วินาทีแรกให้น้อยๆ แล้วค่อยๆหยอดแบบน่ารักอ่ะ ทำให้คนดูเพลิน หรือหยอดให้อยาก จนอยากดูต่อไปเรื่อย ผมเคยเห็นบางคลิปก็เปิดมาปั๊บก็บอกเลยว่า "อย่าเพิ่งกดข้ามคลิปเรานะครับ อยากให้ดูจนจบก่อนว่าเรามีอะไร" อันนี้ก็เป็นเทคนิคตรึงดึงคนไว้ได้อยู่ แต่ถ้ามาแบบนี้บ่อยๆ มุขนี้ต่อไปก็ใช้อีกไม่ได้นะครับ
.
.
ถ้าเป็นคุณที่ดูแลเรื่องนี้ หรือกำลังสนใจแนวนี้อยู่ ลองเลือกกันดูนะครับ ว่าคุณโอเคกับวิธีไหน หรือแฟนๆที่รักมีไอเดียเก๋ๆมาเสนอ หรือแบ่งปันกันได้เลยครับ ครั้งหน้ามาติดตามกันต่อ ว่าเราจะมีอะไรมาเจ๊าะแจ๊ะแคะการตลาดให้ทุกคนได้อ่านกัน ใบ้ให้เล็กๆว่าเกี่ยวกับ 6 คำตอบที่เราควรรู้จากลูกค้าเสมอ ใครอยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

5 Step เพื่อสร้าง Viral ที่ใครก็ต้องร้อง Wow (ตอนต่อของตอนต่อ)

เดินทางมาถึงตอนที่สาม ซึ่งถือว่าเป็นตอนสุดท้ายของ 5 Step เพื่อสร้าง Viral ที่ใครก็ต้องร้อง Wow แล้วครับ วันนี้ยังมีอีก 2 Step ที่มาเล่าสู่กันฟังต่อครับ ก่อนจะไปต่อ ขอทวนแบบเร็วๆ กับ 3 ข้อที่ผ่านมาแล้วว่ามีอะไรบ้าง 
.
.
ข้อแรก การเตรียมแผนทั้งหมด ถ้าแผนครบถ้วนดีงาม แบบนี่มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วครับ
.
.
ข้อสอง ใช้ความง่ายไว้ก่อนพ่อสอนไว้ ใส่ข้อความหรือเนื้อหาเท่าที่จำเป็น อย่างไปสร้างความงงเด็ดขาดบน Viral ของคุณ มิฉะนั้น สิ่งที่คุณได้กลับมา จะตีลังกาหน้ามืดแน่นอน
.
.
ข้อสาม ใส่อารมณ์ความรู้สึกเข้าไปด้วย คนเรามี Feeling นะครับ ฉะนั้นมาเรื่อยๆ เรียงๆ เนิบๆ ความน่าสนใจก็จะลดน้อยถอยลงไป มุกหยิกแกมหยอกน่ารักๆ ใส่ความซึ้งของสายสัมพันธ์บางอย่าง แบบนี้ก็ทำให้ Viral ของคุณมีสีสันขึ้นมาได้ครับ ผมย้อนไอเดียแบบคร่าวๆ กับ 3 ข้อที่ผ่านมาไปแล้ว ถ้าอย่างงั้นเรามาเดินทางต่อไปกับ Step 4 ที่รออยู่แล้วดีกว่านั่นคือ
.
.
Step 4 “Make it interactive” อยากให้น่าสนใจน่าพอใจ ต้องมีอะไรมากกว่าปกติ
.
.
จะปล่อย Viral ลงสู่สนามรบ ที่มีคนใช้กันอย่างบ้าคลั่งขนาดนี้ นอกจากใส่เตรียมแผนให้ปึ้ก ใส่อารมณ์ลงไป อย่าสื่ออะไรที่งงๆ แล้ว ยังไม่พอครับ ต้องมีเทคนิคบางอย่างที่ลงไปด้วย เพื่อให้เกดิความเจิดจรัสขึ้นมา สิ่งที่ต้องเตือนก่อนเลยก็คือ “เราห้ามคาดหวังว่ากลุ่มคนที่เห็นจะแชร์ให้เราทันที” หรือไปบอกต่อแบบสายฟ้าแล่บ สิ่งที่ต้องเริ่มต้นก่อน คือเราน่าจะให้คนเหล่านี้ รักหรือชอบเราก่อน และทำให้คนกลุ่มนี้อยู่กับเราแล้วมีความสุขสนุกสนานกับเราแล้ว หลังจากนั้นคนกลุ่มนี้ จะไปบอกต่อให้เราเอง แบบไม่ต้องขัดขืนใจเลย 
.
.
ถ้างั้นเราจะสร้างให้คนกลุ่มนี้รักเรา หรือสนใจได้อย่างไรล่ะ???
.
.
ผมว่าหลายคนคงมีคำถามนี้อยู่ ผมมีแนวทางมาบอก คือทำให้เข้ามามีส่วนร่วม หรือร่วมสนุกในแคมเปญของเรานั่นเอง ไอเดียการทำลักษณะนี้ เหมือนกับเรายกเกมมาใส่ไว้ใน Viral ของเรา ให้ดูคนที่คลิกเข้ามาได้ร่วมทำอะไรบางอย่าง สุดท้ายเมื่อร่วมเสร็จ ต้องมีผลลัพธ์อะไรสักอย่างปรากฏออกมา และสามารถนำไปบอกต่อได้ เช่น ทำเกมบน Facebook แล้วบอกว่าคุณได้อันดับที่เท่าไร, สะสมมาได้กี่รางวัลแล้ว, การทายดวงทำนายรัก, พอเล่นแล้วบอกว่าคุณคือตัวละครใดของภาพยนตร์ของเรา หรือมีอะไรให้คลิกต่อไปหลังจากดูคลิปเทศกาลจบ เพื่อให้คุณเขียนคำอวยพรเทศกาลวันสำคัญได้ นี่เป็นตัวอย่างบางส่วนที่ยกมาฝากคุณๆ กัน อยู่ที่คุรแล้วว่าอยากหยิบมุมไหนไปใส่ให้กิจกรรมของคุณดูน่าสนใจ กับกลุ่มเป้าหมายที่คุณเล็งไว้นั่นเอง


.
.
Step 5 “Make it go” ได้เวลาปล่อยของประลองฝันแล้ว
.
.
มาถึงข้อสุดท้ายแล้วครับ หลังจากที่คุณวางแผน และไล่ทำตาม Step 5-6-7-8 เก่งมากครับ สนุกกับมันครับ ผมรู้ว่าคุณทำได้ ต้อนรับกล้ามเนื้อใหม่ของคุณ จะบ้าหรอ!!! อันนั้นมันแอโรบิคหน้าห้างแล้ว ไม่ใช่ Step แบบนั้นสักหน่อย จากทั้ง 5 ขั้นตอนที่คุณได้อ่านมาทั้งหมด พอมาถึงขั้นนี้ต้องรอผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นแล้วล่ะครับ การรอผลลัพธ์ระหว่างนั้นเราควรทำอย่างไร เราต้องติดตามดูตลอดช่วงเวลาว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ตรงตามวัตถุประสงค์ของเราหรือเปล่า มีใครมา Comment อะไรบ้าง ภาพเปิดได้ใช่มั้ย คลิปไม่ติดขัด เสียงไม่มีปัญหา ถ้าเกิดเจอแบบนี้ระหว่างที่ปล่อยไปสู่กลุ่มเป้าหมายแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือ รีบเข้าไปแก้ไขอย่างด่วนที่สุดในสามโลกเลย มิฉะนั้น ทุกอย่างจะโอละพ่อ จากกระแสดีดี อาจเปลี่ยนเป็นกระแสดับสนิทได้ เพราะตายน้ำตื้นกับสิ่งที่สื่อไม่ถูกต้อง หรือแม้แต่เจอใครมา Comment แรงชัดจัดเต็ม เราก็ต้องเข้าไปตามอ่าน และเข้าไปคลายข้อสงสัย ข้อข้องใจด้วย เพื่อให้คนอื่นๆ ที่เห็นวลีเหล่านั้น จะได้รู้ว่าคุณได้แก้ไขแล้ว และมีวิธีการจัดการอย่างไรบ้างนั่นเอง
.
.
และอย่าลืมวัดผลตามแผนใน Step แรกสุดที่คุณวางแผนไว้นะครับ สิ่งที่อยากจะฝากบอกคือ การทำการตลาดในลักษณะต่างๆ คือการทดลองเสมอนะครับ ไม่มีใครบอกผลลัพธ์ล่วงหน้าได้ ว่าจะดีหรือเปล่า โอหรือไม่ ใช่หรือมั่ว แต่เมื่อจบแคมเปญแล้ว ต้องหาจุดที่เราได้เรียนรู้ให้เจอ เพื่อครั้งหน้าจะได้ต้องระวังพวกนี้ไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำ หรือต้องเน้นทำแนวนี้ เพราะกลุ่มคนที่เราส่งสารไปชอบอย่างแรงก็เป็นได้
.
.
มาถึงช่วงท้ายของตอนไตรภาคของการทำ Viral Marketing ลองทำดูนะครับ ใครจะไปรู้ว่าคุณอาจจะสร้างกระแสบนโลกออนไลน์ แบบข้ามคืนเดียวก็เป็นได้ อยากที่บอกไปในตอนที่ 1 คือ การวางแผนให้รัดกุม รอบคอบ ชัดเจน และครบถ้วนที่สุด เพื่อให้แผนการเดินใน Step 2-5 จะได้ไหลลื่นสบายๆล่ะครับ ครั้งหน้ามาติดตามกันต่อว่า‪#‎การตลาด3ช่า‬ จะมีอะไรเกี่ยวกับการตลาดแบบคันยุกยิก น่ายิกน่าหยอกมาฝากกันอีกครับ
.
.
เพื่อนๆ ติดตาม #การตลาด3ช่า ทาง LINE@ ได้ง่ายๆ โดยกด Add จากมือถือของคุณผู้อ่านที่น่ารัก ที่ลิงค์ได้เลยครับ http://line.me/ti/p/%40marketing3cha ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/Marketing3Cha/posts/560957050742929:0

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

5 Step เพื่อสร้าง Viral ที่ใครก็ต้องร้อง Wow (ตอนต่อ)

ได้เวลามาต่อตอนที่ 2 ของ 5 Step เพื่อสร้าง Viral Campaign ให้เกิดขึ้นได้จริง ครั้งที่แล้วร่ายไปยาวเลยสำหรับขั้นตอนก่อน Start นั่นคือการวางแผน ที่มีถึง 7 ส่วนที่ต้องไม่ควรมองข้ามไป วันนี้เรามาต่อกับอีก 2 ข้อ นั่นคือ การทำอย่างไรให้ดูง่าย และการทำให้ดูมีชีวิตชีวาด้วย งั้นเรามาเริ่มเดินกันต่อกับการทำ Viral Marketing กันดีกว่าครับ
.
.
Step 2 “Make it simple” ต้องดูง่ายๆ สบายๆ ชิลๆ อย่าเยอะไป
.
.
สิ่งหนึ่งที่คุณต้องทราบก่อน นั่นคือการใช้กลยุทธ์แบบ Viral กลไกที่สำคัญก็คือการส่งต่อ หรือบอกต่อ เรื่องราวที่ได้เห็น หรือรับรู้มา แต่ถ้าเราได้รับข่าวสารมาจากทางอีเมล หรือมีใครมาเล่าให้เราฟังโดยตรง กว่าเราจะส่งต่อได้ ใช้เวลาพอสมควรเลยทีเดียว เพราะกว่าจะเปิดอีเมล หาอีเมลเพื่อน แล้วกด Forward ต่อ ถ้าเป็นการเล่ามาให้เราฟัง กว่าจะเรียบเรียงไปให้เพื่อนอีกคนฟัง ต้องดุด้วยว่าเพื่อนเราพร้อมฟังหรือเปล่าในเวลานั้นๆ แต่ทุกวันนี้เรามีตัวช่วยที่ทำให้เรื่องที่เล่าไปเมื่อสักครู่นี้ จบขั้นตอนได้เดียงปุ่มเดียว นั่นคือ ปุ่ม Share นั่นเอง ถ้าเราเจอสิ่งดีดีมา เพียงกดครั้งเดียว ก็มาปรากฏบนหน้า Timeline ของเรา เท่านี้สิ่งที่เราอยากบอกต่อ หรือเล่าต่อก็ถึงเพื่อนๆ เราแล้ว ไม่ว่าจะเป็นช่องทาง Social Network ต่างๆ ทั้ง Facebook, Twitter, Instagram, Youtube ต่างก็มีปุ่มให้กดอย่างสบายนิ้วเลยทีเดียว
.
.
ในมุมมองนักการตลาดเอง ในเมื่อกระบวนการส่งต่อมันแสนง่ายแบบนี้ ตัวเราเองก็ต้องออกแบบสื่อ Viral ให้อ่านง่าย เข้าใจง่าย และส่งต่อได้ง่ายๆ ด้วยเช่นกัน หรือถ้าเราใช้ข้อมูลบนเว็บไซด์เป็นสื่อส่งต่อในเว็บเองก็ต้องมีปุ่ม Share ไปยัง Social Media ได้ง่ายๆ เช่นกัน พอเรารู้แนวทางแบบนี้แล้ว สิ่งที่ตามมาทันทีแบบไม่ต้องขอก็จะให้ คือรายละเอียดการใช้แต่ละรูปแบบต่างๆ ของสื่อออนไลน์ และเงื่อนไขต่างๆ ที่ต้องระวัง ห้ามขาดห้ามเกินและข้อจำกัดด้วย เช่น ขนาดรูปไม่เกินเท่าไร คลิปที่ใช้ส่งต่อก็ไม่ควรยาวเป็นชั่วโมง ฯลฯ ไม่งั้นการส่งต่อครั้งนี้อาจแป็กได้นะครับ

.
.
Step 3 “Make a feeling” อย่าแห้งเหือดแบบไร้อารมณ์

.
.
ในข้อนี้สิ่งที่คุณต้องดู ผมว่าเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวทุกคนสุดๆ นั่นคือการใส่ความรู้สึกลงไปในสื่อ Viral ของคุณด้วย ก่อนอื่นผมไม่ได้บอกว่าการทำอะไรทื่อๆ ไม่มีอารมณ์แล้ว จะไม่ดีนะครับ แต่สิ่งที่อยากจะนำพามาให้คิดตามก็คือ เวลาเราอินจัด หรือเข้าไปถึงเรื่องอะไรแบบก้นบึ้งของหัวใจแล้ว เราจะคล้อยตาม หรือนึกเสมือนว่าเราเป็นตัวละครนั้นๆ ลงไปในสิ่งที่เห็นหรือดูอยู่ ก็คงไม่ต่างกับเวลาดูซีรี่ส์เกาหลี ที่พระเอกนางเอกเจอบทแสดงความรู้สึกแรงๆ เราดูไปเราก็รู้สึกร่วมจิกหมอนไปด้วย หรือเจอบทพรากจากกัน ที่ตัวละครร้องไห้ชุดใหญ่ เราก็บางครั้งพลอยต้องเช้ดน้ำตาตามไปด้วยนั่นเอง
.
.
มุมมองของข้อนี้ ผมอยากจะเน้นย้ำว่า ถ้าเราใส่เรื่องอารมณ์ลงไปจะดูน่าสนใจมากขึ้น เช่น Viral ของเราอาจจะเน้นตลกขำขัน ดูแล้วอารมณ์ดียิ้มตลอดวัน หรือต้องการให้ลงไปถึง จุดก้นบึ้งของหัวใจ อาจจะต้องหาเรื่องที่สะเทือนใจ หรือเปิดต่อมน้ำตาได้ หรือแม้แต่การหักมุมจบในอีกมุมกลับที่ผู้ชมไม่คาดคิด ลองเติมสิ่งเหล่านี้เข้าไป จากสิ่งที่ดูธรรมดา อาจจะกลายเป็นไม่ธรรมดาได้ในพริบตานะครับ ไม่เชื่อลองดูว่าคลิปต่างๆ หรือเรื่องราวที่ได้ส่งต่อมา ส่วนใหญ่จะมีเรื่องอารมณ์ร่วมของคน เข้าไปอยู่ในเนื้อเรื่องนั้นๆ ด้วยเสมอครับ
.
.
วันนี้ได้อ่านไปอีก 2 Step แล้ว ตอนนี้เท่ากับคุณได้รู้วิธีการเตรียมทำ Viral Marketing มา 3 ข้อแล้ว ในตอนถัดไป ผมจะมาต่อกับ 2 ข้อสุดท้าย ที่เกี่ยวกับการทำให้ Viral ดึงคนเข้าไปมีส่วนร่วมได้ และการปล่อย Viral ออกสู่สนามการตลาดครั้งนี้ อย่าลืมมาติดตามกันต่อตอนหน้านะครับ
.
.
เพื่อนๆ ติดตาม ‪#‎การตลาด3ช่า‬ ทาง LINE@ ได้ง่ายๆ โดยกด Add จากมือถือของคุณผู้อ่านที่น่ารัก ที่ลิงค์ได้เลยครับ http://line.me/ti/p/%40marketing3cha ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/Marketing3Cha/posts/560956487409652:0

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

5 Step เพื่อสร้าง Viral ที่ใครก็ต้องร้อง Wow

จากตอนที่แล้ว ที่ ‪#‎การตลาด3ช่า‬ ได้บอกเล่าเกี่ยวกับ Viral Marketing คืออะไรไป แล้วได้รู้ว่าอะไรที่เป็น Viral ได้บ้าง มาถึงครั้งนี้ ผมจะมาบอกวิธีการลงมือทำกันแล้วล่ะครับ จะเริ่มกันอย่างไร ต้องคิดอย่างไร มองมุมไหนบ้าง ผมจัดมาให้กับ 5 ข้อ เพื่อสร้าง Viral ที่ใครก็ต้องร้อง “ว๊าว ว๊าว ว๊าว” เลย พร้อมแล้ว Step แรกมารอแล้วครับ (ตอนนี้จะยาวสักหน่อยนะครับ อย่าเพิ่งหมดแรงข้าวต้มกันไปซะก่อนนะ)
.
.
Step 1 “Make a plan” สร้างแผนก่อนออกรบเสมอ สิ่งที่ต้องวางแผนก่อนทำ Viral เสมอ มีอยู่ 7 อย่างต่อไปนี้ครับ
.
.
• จะปล่อยผลิตภัณฑ์ใด หรือยี่ห้อของเราล่ะ???
o ในมุมเริ่มต้นของการทำ Viral Marketing นั้น ขั้นแรกของการเริ่มวางแผน ก็คือการเลือกสินค้าที่จะใช้เป็นตัวสื่อสาร หรืออาจจะใช้ภาพลักษณ์ของยี่ห้อเป็นตัวนำของแคมเปญนั้นๆ การเลือกว่าตัวสินค้า หรือภาพของแบรนด์ ผมคิดว่าให้ดูจากจุดประสงค์ของการทำครั้งนี้ ซึ่งจะพูดต่อในข้อถัดไป และต้องดูสถานการณืความเป็นจริงของธุรกิจคุณ ว่ากำลังจะเปิดธุรกิจใหม่จ๋าเลย หรือกำลังจะออกสินค้าตัวใหม่ในปีนี้ แผนของธุรกิจคุณในปีนี้จะเดินไปทางไหน มุมมองพวกนี้จะช่วยคุณตัดสินใจได้ครับ ลองหยิบบแผนที่มีอยู่ในมีอ ออกมากางให้หมดเกลี้ยงก่อน แล้วค่อยว่ากัน อย่าไปเดาเอาเอง แบบไม่มีอะไรเป็นข้อมูลรับรองนะขอรับ
.
.
• จะปล่อยเพื่ออะไรดีอ่ะ???
o หลังจากที่คุณเลือกของหรือสินค้าที่จะไปปล่อย Viral แล้ว ถึงเวลาที่ต้องมากำหนดกรอบแล้วว่า การทำ Viral Campaign ครั้งนี้เพื่ออะไร บางคนอาจจะต้องการสร้างให้คนจดจำได้เฉยๆ โดยยังไม่หวังยอดขายอะไร หรืออาจต้องการให้มีคนคลิกกลับมาที่เว็บไซด์ เพื่อดูรายละเอียผลิตภัณฑ์ แล้วสามารถปิดการขายได้ในที่สุด หรืออาจจะต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าต่อไป ด้วยการให้เห็นว่าองค์กรของเราเตรียมทำอะไรบ้างในอนาคต อันนี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนที่ผมยกมา เพื่อให้คุณๆ ได้เห็นภาพ ข้อนี้จะไปต่อได้ ถ้าคุณกำหนดจุดมุ่งหมายปลายทางที่ชัดเจนนะครับ
.
.
• จะปล่อยของกับใครดีเอ่ย???
o ผ่านไป 2 ส่วนแล้ว ข้อนี้ คุณต้องผนวกเอา 2 ส่วนที่เล่าไป มารวมกันทั้งหมด นั่นคือ ใครคือคนที่คู่ควรกับการเห็น Viral นี้ของคุณ จะมีกี่กลุ่ม และอีกหนึ่งอย่างที่ทำได้ ถ้าคุณมีกลุ่มเป้าหมายมากกว่า 2 กลุ่มขึ้นไป คุณอาจสร้างให้แต่ละกลุ่ม เห็น Viral ที่คุณจะเตรียมนี้ไม่เหมือนกันก็ได้ ถ้าข้อนี้คุณยังตัดสินใจไม่ได้แบบเด็ดขาด ให้ใช้มุมมองของแรงงานที่ต้องเข้ามาทำให้กิจกรรมนี้ ว่ามีคนเพียงพอทำได้หลายๆ แบบหรือเปล่า หรือมีคนเท่านี้ก็เอาพอหอมปากหอมก่อนก็ไม่ว่ากัน
.
.
• จะปล่อยข้อความ หรือข้อมูลอะไรลงไปบ้าง???
o เนื่องจากส่วนใหญ่ Viral Campaign จะใช้เวลาไม่นานนักในการสื่อสาร หรือพูดคุยส่งสารให้กับกลุ่มคนที่เป็นเป้าหมาย การเตรียมประเด็นที่จะส่งไปให้คนที่เห็นจดจำได้ จะมีจำนวนไม่ค่อยเยอะ แต่ถ้าคุณดันเตรียมเนื้อหาที่จะเล่า ยาวเป็นพงศาวดารประวัติศาสตร์ อันนี้ขอให้พับเก็บลงลิ้นชักอย่างด่วนๆ คุณต้องย่อยให้เหลือสั้นที่สุด และชัดเจนดูไม่สับสน หรือเกิดข้อชวนงงได้ ในเว็บต่างประเทศมีแนะนำไว้ว่า ข้อความหลักจริงๆ ในการสื่อผ่าน Viral Campaign เนี่ย ไม่ควรเกิน 2-3 ประเด็นที่จะสื่อนะครับ แล้วตอนนี้คุณมีกี่ประเด็นที่จะเล่าให้คนที่คุณเล็งเอาไว้ฟังละ และอย่าลืมคิดเนื้อเรื่องเจ๋งๆ เพื่อโดนใจกลุ่มคนของคุณนะครับ

.
.
• จะปล่อยด้วยรูปแบบไหนดีอ่ะ???
o จากบทความครั้งก่อน ผมมีเล่าไปแหย่ๆ นิดหน่อยแล้วว่า อุปกรณ์ของ Viral Marketing ไม่ได้มีแค่คลิปเพียงอย่างเดียว มีวิธีที่สื่อสารด้วยรูปภาพพร้อมข้อความ, infographic, คลิปวิดีโอ, คลิปเสียง (Podcast) หรือแม้แต่เรื่องของคำคมเด็ดๆ ที่มีแต่ตัวอักษรเพียงอย่างเดียว ก็เกิดกระแสขึ้นมาได้เช่นกัน แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือข้อจำกัดของแต่ละรูปแบบ เช่น ทำเป็นคลิปก็อย่าเผลอไปใส่แต่ตัวอักษรอย่างเดียว ไปให้ขัดตาขัดใจเวลาดู จะดูเนื้อเรื่องที่เคลื่อนไหว แต่ตัดอักษรดันเต็มหน้าจอไปหมด อันนี้ก็ต้อง Say No ไม่ทำนะครับ และมุมมองที่สำคัญของหัวข้อนี้เลย นั่นคือการเลือกรูปแบบต้องไม่ทำให้ภาพเสียหาย หรือไปขัดแย้งกับสิ่งที่แบรนด์เราเป็นอยู่ ความฉงนชวนงงครั้งใหม่จะโผล่ขึ้นมาทันที เมื่อคุณทำให้ขัดแย้งไปซ้ายทีขวาทีแบบนี้นะจ๊ะ
.
.
• จะปล่อยเมื่อไร จะปล่อยกี่ที???
o ขั้นตอนนี้ก็เด่นไม่แพ้กัน สำหรับการวางแผนวันและเวลาปล่อยความเจ๋งของคุณ ให้กลุ่มเป้าหมายได้รับรู้ บางยี่ห้ออาจจะปล่อยครั้งเดียวแล้วจบไปเลยก็มี บางสินค้าอาจจะแบ่งเป็น Series ย่อยๆ ค่อยๆ แบ่งมาทีละตอน ใครที่ดูตอนแรกแล้วจะได้เห็นตอนถัดมาในอีกกี่วัน หรือจะปล่อยโฆษณาตัวเดิมทุกๆ วันจันทร์ เพื่อให้คนได้ร่วมสนุกหรือเห็น ตลอดกี่เดือนก็ว่ากันไป มุมมองนี้จะมีเรื่องของงบประมาณเข้ามาเริ่มเกี่ยวข้อง เพราะทุกครั้งที่ซื้อสื่อโฆษณา เงินกำลังจะหมุนไปให้กับเจ้าของสื่อนั้นเสมอ เรื่องกลุ่มเป้าหมายไว้ดีแล้ว การเตรียมแผนใช้สื่อก็ต้องทำให้เป๊ะเวอร์เช่นกันจ้า
.
.
• จะวัดผลยังไงดี ว่าทำไปเวิร์คหรือแป็ก???
o มาถึงส่วนสุดท้ายที่คุณต้องเตรียมตัวใน Step 1 นี้ คุณจะต้องใช้สิ่งที่คุณเตรียมเป็นวัตถุประสงค์มาใช้แล้วล่ะครับ ถ้าวัดผลด้วยการมียอดขายปรากฎ ตัววัดก็ควรจะเป็นเม็ดเงินที่เข้ามา ถ้าเป้าหมายต้องการให้มีคนดูคลิป สิ่งที่วัดคือจำนวนครั้งที่ดูคลิปนี้ ถ้าอยากได้ข้อมูลจากการลงทะเบียนบนเว็บ สิ่งที่นำมาประเมิน น่าจะเป็นจำนวนคนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บ และคนที่มากรอกข้อมูลให้คุณ แบบไม่นับซ้ำนะครับ เพื่อให้คุณประเมินได้ว่า หลังจากจบกิจกรรมไปแล้ว สิ่งที่คุณได้วางแผนและลงมือทำไปแล้ว เป็นอย่างไรบ้างนั่นเอง
.
.
ในตอนนี้ผมขอจบที่ขั้นตอนที่ 1 นี้ไว้ก่อนนะครับ ที่ผมหยุดไว้ตรงนี้ เพราะว่านี่คือสิ่งสำคัญที่สุดเลย ผมเลยอยากให้ผู้อ่านได้วางแผนเรื่องนี้ อย่างจริงจัง และทำให้ครบที่สุด เพื่อให้ Start ได้อย่าง Strong จริงๆ ครั้งถัดไปผมจะมาต่อกับอีก 2 Step ถัดไปว่ามีอะไร และในตอนที่ 3 ซึ่งเป็นส่วนจบ ผมจะมาแนะนำกับอีก 2 Step ท้ายนี้นะครับ ผมต้องขอภัยที่ตัดออกมาเป็นตอนๆ แบบไตรภาคเลย เนื่องจากบทความนี้มีรายละเอียดที่เยอะอยู่ และผมอยากให้คุณผู้อ่านที่น่ารักของผม อ่านเสร็จปุ๊บเอาไปใช้ได้ปั๊บ ก็เลยของแบ่งย่อยแบบนี้ แล้วเจอกันใหม่กับ “ตอนต่อ” ของ 5 Step เพื่อสร้าง Viral ที่ใครก็ต้องร้อง Wow ครับ
.
.
เพื่อนๆ ติดตาม #การตลาด3ช่า ทาง LINE@ ได้ง่ายๆ โดยกด Add จากมือถือของคุณผู้อ่านที่น่ารัก ที่ลิงค์ได้เลยครับ http://line.me/ti/p/%40marketing3cha ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/Marketing3Cha/posts/560952027410098:0

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Viral Marketing ถ้ายังอยู่นิ่ง ก็แห้วต่อไป

ในวงการพระเครื่องที่ผ่านมา เอ๊ย!!! วงการการตลาดต่างหาก ที่ผ่านมา มีอีกหนึ่งคำศัพท์ที่พูดกันอย่างบ้าคลั่ง ถล่มทลาย เดินไปขวาก็เจอ ไปซ้ายก็ชนอีก นั่นคือเจ้าคำที่ว่า "Viral Marketing" หลายคนคิดว่า ใช่วิดีโอคลิปที่แชร์ๆ กันต่อหรือเปล่า หรือเป็นแนวแชร์ลูกโช่ที่ส่งต่อกันเรื่อยๆ อะไรกันแน่ล่ะ เริ่มงงกันใหญ่แล้ว อย่าเพิ่งมึนกันไปก่อนครับ ผมจะมาไขข้อสงสัยนี้กัน
.
.
Viral Marketing เป็นอีกหนึ่งวิธีในการกระจายเรื่องราวต่างๆ หรือบอกต่อประเด็นที่น่าสนใจ ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่คุณเล็งเอาไว้ หรือคนที่น่าจะมีความสนใจเรื่องนั้นๆ ให้ได้เข้าถึงนั่นเอง โดยเป็นการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว คล้ายๆ เชื้อไวรัสเวลาแพร่เชื้อแบบเร็วจี๋นั่นเอง ที่สำคัญยังใช้งบไม่มาก เลยกลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือฮิตติดลมบนไปเรียบร้อยแล้ว
.
.
ถ้าเราจะเห็นกันสม่ำเสมอ เช่น สารพัด Social Network ตั้งแต่ Facebook, Twitter, Instagram ที่มีทั้งรูปภาพและเป็นตัวหนังสือ ข่าวสารต่างๆ เรื่องราวมากมาย รีวิวสินค้า ที่เราจะเห็นกันมา พอถูกยกระดับ รวบทั้งภาพและเสียงเข้ามาด้วยกัน ก็แปลงร่างเป็น Viral Video ถ้าถามว่าแหล่งปล่อยของคลิปที่เราจะหาได้สะดวกที่สุด นั่นคือ Youtube ซึ่งมักนำมาใช้เป็นอุปกรณ์แสนบ่อยมาก ถึงมากที่สุด ที่นักการตลาดใช้ในการทำ Viral Marketing เพื่อจะดึงดูดความสนใจ ให้คนได้พูดถึง และบอกต่อๆ กันไป




.
.
แล้วจำเป็นต้องใช้ Social Network อย่างเดียวเลยหรอ???
.
.
ผมว่านี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งคำถามที่คุณกำลังคิดอยู่หรือเปล่าครับ คำตอบก็คือ "ไม่ใช่ครับ" วิธีของ Viral Marketing ทำผ่านสื่อที่เราใช้กันประจำวันได้ เช่น วิทยุ, โทรทัศน์, หนังสือพิมพ์, นิตยสาร หรืออาจจะผนวกควบคู่ทั้ง Online Media และ Offline Media ก็ได้ ผมอยากจะลองยกหนึ่ง Viral ที่เกิดจาก Online แล้วก็กลายมาเป็นนิตยสารได้ ที่ผ่านมามีกระแสข่าว ความดังขององค์รัชทายาทท่านหนึ่ง ที่รูปลักษณ์หล่อดูดีมีสกุลสุดๆ กระแสนี้ก็ทำให้นิตยสารเล่มหนึ่ง ได้ออกมาเป็นฉบับหนึ่งที่ได้ท่านชายมาขึ้นปกให้ พร้อมได้ยลโฉมความหล่อสมชายชาตรีของท่าน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจนะครับ
.
.
โจทย์ใหญ่บิ๊กเบิ้มของ Viral Marketing จะทำอย่างไร ให้คนที่ได้รับ Forward อีเมลมา, เพื่อน Share มาให้ใน Facebook, คนไปตั้งกระทู้ในพันธุ์ทิพย์แล้ว, เราได้รับข้อมูลจาก LINE และได้ส่งต่อให้คนอื่นแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นพวกนี้ ทำให้เกิดการซื้อขายบ้างหรือเปล่า แม้ว่าจะได้รับความนิยมในวงกว้าง กระแสดีทั่วประเทศ เป็นที่รู้จักแล้ว แต่ถ้าไม่เกิดการซื้อขายใดใดเลย สิ่งที่ทำลงไปกับ Viral Marketing สิ่งนี้ ก็ถือว่าไม่ผ่าน หรือไม่ได้ไปต่อ เราต้องหมั่นสังเกตตลอดช่วงเวลาที่เราวางแผนเอาไว้ด้วย หรือแม้แต่ต้องไปดูการพูดต่อในทางที่เราอยากให้ไป หรือตีลังกาไปอีกแนวหนึ่ง แล้วส่งผลเสียกลับมาในด้านตรงข้าม ก็ถือว่าแป็กได้นะครับ อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอยากจะเริ่มทำ Viral Marketing แล้ว ในครั้งหน้าผมจะมาบอกวิธีการทำให้โดนๆ เด่นๆ ว่าต้องจัดกระบวนทัพอย่างไรบ้าง อย่าลืมมาอ่านกันต่อนะครับ kiki emoticon
.
.
เพื่อนๆ ติดตาม ‪#‎การตลาด3ช่า‬ ทาง LINE@ ได้ง่ายๆ โดยกด Add จากมือถือของคุณผู้อ่านที่น่ารัก ที่ลิงค์ได้เลยครับ http://line.me/ti/p/%40marketing3cha ขอบคุณครับ