วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ชี้เทรนด์ค้าปลีก เร่งอัพเกรดสาขา จับลูกค้าพรีเมี่ยม

ค้าปลีกอาเซียนคึกคัก จับตาต่างชาติแห่ลงทุนอินโดนีเซีย เวียดนาม เมียนมา ด้านค้าปลีกไทย "อีคอมเมิร์ซ-สะดวกซื้อ" มาแรง มาเลเซียจ่อลงทุนชิงส่วนแบ่งตลาดคอนวีเนี่ยน เซเว่นฯเดินหน้าลงทุน 600 สาขา เผยสาขาเมืองท่องเที่ยว-ค้าชายแดนคึกคักรับลูกค้าต่างชาติเพียบ

นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า มูลค่าค้าปลีกภูมิภาคเอเชียและออสเตรเลียหลังจากปี 2559 เป็นต้นไปมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องและคึกคักยิ่งขึ้น โดยปี 2558 ประเทศที่มีมูลค่าค้าปลีกมากที่สุด ได้แก่ อินโดนีเซีย อยู่ที่ 3.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราขยายตัวเฉลี่ยปี 2552-2558 อยู่ที่ 9.4% รองลงมาคือ ฟิลิปปินส์ ไทย และมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม ประเทศที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุดช่วง 5 ปีที่ผ่านมาคือ เวียดนาม มีอัตราขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 12.1% รองลงมาคือ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ส่วนไทยขยายตัวเฉลี่ย 5.9% 

ทั้งนี้ แนวโน้มการขยายตัวของค้าปลีกปี 2563 ประเทศในอาเซียนที่น่าจับตามากที่สุดคือ อินโดนีเซีย ที่ยังคงเป็นอันดับ 1 ทั้งเชิงมูลค่าขายและอัตราการขยายตัว รองลงมาเป็นเวียดนาม เมียนมา ส่วนไทยขยายตัว 9% 


"สเกลไทยกับเวียดนามยังต่างกันอยู่ แต่ก็ไล่กันมาระหว่าง 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ กับ 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่ที่น่าสนใจคือ เวียดนาม จะขยายตัวแซงหน้าไทย และมีมูลค่าค้าปลีกเพิ่มขึ้นมาใกล้เคียงกับไทยในปี 2563 เพราะโตเร็วมาก นอกจากนี้ มีโอกาสเห็นกลุ่มร้านสะดวกซื้อต่างชาติจะเข้ามาในไทยมากขึ้น โดยประเทศที่มีศักยภาพคือ มาเลเซีย กลุ่มพาร์คสันที่เป็นอันดับ 1 ของร้านสะดวกซื้อ ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจค้าปลีกไทยจะเข้าไปซื้อกิจการในอาเซียนมากขึ้น" 


นายอัทธ์กล่าวว่า อัตราการขยายตัวของค้าปลีกไทยเติบโตลดลงตามเศรษฐกิจของประเทศ แต่ปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น คาดการณ์ค้าปลีกไทยมูลค่า 4.3 ล้านล้านบาท จะขยับเกือบ 7 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นค้าปลีกสมัยใหม่ ประกอบด้วย อีคอมเมิร์ซ สะดวกซื้อ ค้าปลีกอื่น ๆ อีกกลุ่มคือ ค้าปลีกดั้งเดิม โดยปี 2558 มีค้าปลีกดั้งเดิมเป็นสัดส่วน 40% อีคอมเมิร์ซ 1.8% สะดวกซื้อ 8% ส่วนที่เหลือเป็นค้าปลีกสมัยใหม่อื่น ๆ แต่อีก 5 ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนเป็นดั้งเดิม 30% ค้าปลีกสมัยใหม่ปรับตัวลดลงเหลือ 42% แต่ที่มาแรงมากที่สุดคือ สะดวกซื้อ 17% และอีคอมเมิร์ซเพิ่มเป็น 10% 

"ค้าปลีกดั้งเดิมยังมีสัดส่วนมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ค้าปลีกสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น"

สำหรับมูลค่าค้าปลีกของโลกระหว่างปี 2554-2561 พบว่า ปี 2558 มีมูลค่าอยู่ที่ 18.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2559 คาดมีมูลค่ายอดขายเท่ากับ 19.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และปี 2561 ขยับเพิ่มเป็น 22.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และมีอัตราขยายตัวปี 2558 อยู่ที่ 6.4% ขยับเป็น 7.5% ในปี 2561 โดยภูมิภาคที่มีมูลค่าค้าปลีกมากที่สุดคือ เอเชียและออสเตรเลีย ซึ่งปี 2561 จะยิ่งมีความคึกคัก โดยเติบโตถึง 10.4% จากปี 2558 อยู่ที่ 7.6% รองลงมาคือ อเมริกาเหนือและยุโรปตะวันออกขณะที่มูลค่าค้าปลีกของโลกคาดว่าจะเติบโต 7.5% 

ด้าน ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสมาคมผู้ค้าปลีกไทยกล่าวว่า ค้าปลีกไทยมีอัตราการเติบโตลดลง แต่ปีที่แล้วขยับขึ้นมา 3% เนื่องจากมาตรการช็อปเพื่อชาติของรัฐบาลปี 2559 กำลังซื้อกลุ่มกลาง-ล่างยังอ่อนแอ แต่กลุ่มกลาง-บนยังมีศักยภาพใช้จ่าย จึงเป็นโจทย์ที่ต้องกระตุ้น ดังนั้น ค้าปลีกกลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ตจับกลุ่มลูกค้ากลาง-ล่างจึงโตลดลงจากที่เคยโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ส่วนกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ตที่จับลูกค้ากลาง-บน และนักท่องเที่ยวยังคงเติบโต โดยเทรนด์ค้าปลีกจะพัฒนาโมเดลขยับขึ้นไปพรีเมี่ยมมากขึ้น ขณะที่รายใหม่เข้ามายังคงเน้นเรื่องราคาเป็นหลัก 


"ค้าปลีกไทยแข็งแรงมาก ขยายการลงทุนไปต่างประเทศ อย่างโรบินสันและซูเปอร์สปอร์ตเข้าไปลงทุนที่เวียดนาม เซ็นทรัลที่จาการ์ตา แนวโน้มการควบรวมกิจการจะเกิดขึ้น และจะเห็นการควบข้ามอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่ค้าปลีกกับค้าปลีกเท่านั้น แบรนด์ที่แข็งแกร่งจึงจะอยู่รอด" 

นายพูลสวัสดิ์ เผ่าประพัธน์ รองกรรมการผู้จัดการสำนักพัฒนาองค์กรคุณภาพและความยั่งยืน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีมามีสัญญาณการจับจ่ายที่ดีขึ้น สังเกตจากสาขาเดิมที่มีอัตราเติบโต 3-4% และยังมีลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวมากขึ้น รวมถึงจากประเทศเพื่อนบ้านที่ข้ามมาซื้อสินค้าในสาขาตามชายแดน โดยปีนี้ยังคงเดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่องใกล้เคียงที่ผ่านมาประมาณ 600 สาขา พร้อมกับสร้างนวัตกรรมสินค้าและบริการ คัดสินค้าให้ตรงกับความต้องการ และร่วมกับเอสเอ็มอีเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้า ส่วนการลงทุนต่างประเทศจะใช้แม็คโครเข้าไป

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1453962218

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

มาดูกัน ธนาคารไหน สุด “สตรอง”บนโซเชียลมีเดียแห่งปี 58


THOTH ZOCIAL ได้ทำการจัดอันดับ Facebook Page ในหมวดหมู่ธนาคาร และอินไซต์ต่างๆ ตลอดปี 2558 หมวดหมู่ธนาคารเป็นกลุ่มที่น่าสนใจอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะผู้ใช้  Facebook สูงถึง 5,550,000 คน ที่ระบุว่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องธนาคารหรือกดไลค์เพจเกี่ยวกับธนาคารซึ่งแบ่งเป็น Investment Banking, Retail Banking และ Online Banking
จำนวนผู้สนใจเรื่องราวหรือกดไลค์เพจเกี่ยวกับธนาคาร โดยแบ่งช่วงตามอายุดังนี้
อายุ 13-17 ปี : 260,000 คน
อายุ 18-24 ปี : 1,200,000 คน
อายุ 25-34 ปี : 2,200,000 คน
อายุ 35-44 ปี : 1,200,000 คน
อายุ 45-54 ปี : 470,000 คน
อายุ 55-65+ ปี : 220,000 คน
กลุ่มคนที่มีอายุตั้งแต่อายุช่วง 18 ปี จนไปถึง 44 ปี มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องธนาคารเป็นจำนวนมาก แต่มีจำนวนมากที่สุดอยู่ในช่วง 25-34 ปี ซึ่งก็คือช่วงวัยทำงานนั่นเอง ซึ่งไม่แปลกเพราะเป็นวัยที่เริ่มต้องมีเรื่องเงินๆทองๆมาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการฝากประจำ, บัตรเครดิต, กู้ยืม รวมไปถึงกองทุนต่างๆ จึงเรียกได้ว่า Target group หลักๆบนโลกออนไลน์ของอุตสาหกรรมนี้ก็คือช่วงวัยกลางคนที่มีอายุตั้งแต่ 25 – 34 ปีนั่นเอง
10 อันดับแรกธนาคารที่มีผู้ติดตามบน Social Media มากที่สุด
 (ข้อมูล ณ วันที่ 20 มกราคม 2559)
1 ธนาคารไทยพาณิชย์  
2 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 
3 ธนาคารกรุงไทย 
4 ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮาส์
5 ธนาคารออมสิน
6 ธนาคารกรุงเทพ 
7 ธนาคารกสิกรไทย 
8 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 
9 ธนาคารยูโอบี
10 ธนาคารทหารไทย
Engagement ภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมธนาคาร บน Facebook Page ตลอดทั้งปี 2558
จาก Facebook Page ทั้งหมด 13 ธนาคาร (ข้อมูลตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2015)
- โพสต์รวมกันทั้งหมด 13,086 ครั้ง
- ค่าปฏิสัมพันธ์(Like, Comment, Share) ทั้งหมด 23,391,022 ครั้ง
- ค่าเฉลี่ยการปฏิสัมพันธ์ต่อ 1 โพสต์ : 1,787 ครั้ง
10 อันดับแรก Facebook Page ธนาคารสุดสตรอง ที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมากทีสุดในปี 2558
 (ข้อมูลตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2015)
จากข้อมูลแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของคอนเทนต์ที่แบรนด์โพสต์ไปในแต่ละวัน ว่ามีคนเข้ามาปฏิสัมพันธ์ด้วยมากน้อยขนาดไหน โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลของโพสต์ทั้งหมดโดยที่ไม่แยกระหว่าง Organic โพสต์ และโพสต์ที่ซื้อ Advertising โดยการวัดประสิทธิภาพของคอนเทนต์ มีปัจจัยหลักๆอยู่ที่ "จำนวนการโพสต์” และ “จำนวนค่าปฏิสัมพันธ์”
ธนาคารที่มีค่าเฉลี่ยการปฏิสัมพันธ์ต่อโพสต์สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
1. ธนาคารไทยพาณิชย์ : ค่าเฉลียการปฏิสัมพันธ์ต่อโพสต์ : 5,638 ครั้ง
2. ธนาคารกรุงไทย : ค่าเฉลียการปฏิสัมพันธ์ต่อโพสต์ : 4,593 ครั้ง
3. ธนาคารกสิกรไทย : ค่าเฉลียการปฏิสัมพันธ์ต่อโพสต์ : 4,126 ครั้ง
4. ธนาคารทหารไทย : ค่าเฉลียการปฏิสัมพันธ์ต่อโพสต์ : 3,616 ครั้ง
5. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา : ค่าเฉลียการปฏิสัมพันธ์ต่อโพสต์ : 1,959 ครั้ง

ขอบคุณข้อมูลจาก Positing Magazine (http://www.positioningmag.com/content/62560)

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สารพัด like แบบใหม่ของ facebook โอ(เค)หรือโน(No) ???

เปิดตัวกันไปแล้วสำหรับ feature ใหม่ของ facebook ที่ให้เราแสดงอารมณ์กันได้หลากหลายถึงพริกถึงขิงถึงข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มะพร้าว ส้มโอ แตงโม ไชโยโห่ฮิ้วววววกันไป ชาว ‪#‎การตลาด3ช่า‬ ชอบกันหรือเปล่าครับ ได้ลองเล่นกันบ้างยังเอ่ย...

สิ่งที่น่าคิดคือต่อไปนี้ เวลาเราจะแสดงความรู้สึกอะไรสักอย่างจะเริ่มเกิดความตะขิดตะขวงใจมากขึ้น หรือแอบมีเบรคความคิดสะกิดกันสักหน่อย ในการจะแสดงความรู้สึกแบบทันทีลงไป เพราะแต่ก่อนมีเพียงปุ่ม like เพียงอันเดียว งานนี้วลีที่ว่า "ชอบกด like ใช่กด love" ก็จะได้กดกันรัวๆ เลย ถือว่าเป็นสิ่งดีดีสำหรับคนใช้งาน facebook เต็มประตู

แต่ในทางนักการตลาด หรือนักโฆษณามีประเด็นน่าคิดกันแน่นอนครับ เพราะเดินเรารับรู้ความรู้สึกของผู้บริโภคได้ทันที ด้วยการกด like แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้การวิเคราะห์ต่างๆ ดูท้าทายขึ้นไปอีกระดับ แล้วอะไรคือสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการแบบแท้จริงกันแน่??? อันนี้ปัญหาระดับชาติเลยนะครับ การไขรหัสลับจับบ้านเล็ก เอิ่ม...อันนั้นชื่อหนังสายลับจับบ้านเล็ก ไอ้นี่ออกนอกเรื่องตลอด!!!

กลับมาเข้าเรื่องกันต่อนะครับ การไขรหัสความชอบ หรือต้องการของผู้บริโภค จะกลายเป็นทักษะใหม่สดซิงที่นักการตลาดต้องฝึกฝนกันแล้ว เพราะไม่งั้นงานนี้มีเดาผิดถูกมีลุ้นมีเหลือมกันแน่ๆ เพราะเราไม่รู้เลยว่าสารพัดผู้ใช้งานนั้น แสดงความรู้สึกจริงๆแน่ๆนะ หรือกดไปอย่างงั้นแหละ หรือเห็นว่าน่ากดดีก็เลยกดไปอ่ะ เช่น จริงๆแล้ว ชอบมากแต่กด haha ตลกให้แทนก็เป็นได้

และอีกกระแสที่หลายๆ คนกำลังเดาไปซ้ายทีขวาที คือ ปุ่มเหล่านี้ facebook ใช้แบบระยะยาว หรือถาวรหรือเปล่าจ๊ะ หรือมาแค่สร้างความตื่นตาตื่นเต้นแล้วก็กลับไปแบบเดิมอีกอ่ะครับ

สุดท้ายขอฝากแฟนๆ #การตลาด3ช่า ด้วยนะครับ
ถ้าชอบเนื้อหาฝากกด like
ถ้าอ่านเยี่ยมฝากกด wow
ถ้าสำราญจิตฝากกด haha
ถ้ารักคนเขียนฝากกด love นะ แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าครับ
ขอบคุณรูปภาพจาก fusion group online ‪#‎Marketing3Cha‬

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

นั่ง Time Machine มาดู Social Media กันดีกว่า

วันนี้มานั่ง Time Machine ย้อนเวลาไปดูกันดีกว่าครับว่าตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมา Social Media มีอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง และแต่ละปีมีอะไรเกิดขึ้นมาทดแทน และอะไรบางอย่างที่บายบายลาก่อนจากพวกเราไปกัน เชื่อว่าหลายๆ คน น่าจะมีบางอย่างที่เกิดทัน และเคยใช้แน่เลย (นั่นแน่รู้นะ ว่าแอบเอามือเก็บกันใหญ่เลย ว่าไม่เคยใช้บางอย่างอ่ะ อิอิ)

หากจะเอ่ยถึงคำว่า Social Media ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญในการสื่อสารและประชาสัมพันธ์บนโลกอินเตอร์เน็ต หรือโลกออนไลน์ ที่คุณรู้จักและใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ตัวอย่างเช่น facebook  twitter google+  Instagram  หรือคนทำงานบางท่านก็ใข้ LinkedIn ก็มี แต่ ความจริงแล้ว Social Media มีเว็บไซต์ที่เกิดก่อนพวกเว็บที่คุณกำลังใช้อยู่ มีเยอะแยะมากมาย เพียงแต่บางเว็บได้ปิดบริการไปเท่านั้น มาไล่ลำดับเหตุการณ์ Social Media จากอดีตถึงปัจจุบันกัน
บริการยอดฮิตจริงๆอย่าง อีเมล หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เกิดขึ้นเมื่อปี 1971 ส่วนโลกอินเตอร์เน็ตในยุคแรกๆ เกิดขึ้นปี 1979 ด้วย USENET
จากนั้นอินเตอร์เน็ตเริ่มฮิตมากขึ้นด้วยบริการแชต IRC (หากเกิดทันคุณรู้จักโปรแกรมแชตสุดว่า PIRCH  แน่นอน) และ ต่อมา WWW (World Wide Web) เกิดขึ้นในปี 1989 แล้วมาใช้กันอย่างแพร่หลายในปี 1991 ซึ่งปีนั้นได้กำเนิดหน้าเว็บเพจเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกด้วย โดยในปี 1990 มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตประมาณ 2.6 ล้านคน
เว็บบราวเซอร์เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1993 ในชื่อว่า Mosaic ส่วนบริการสร้างเว็บไซต์ส่วนตัวในยุคแรกๆ เกิดขึ้นในปี 1995 ในเว็บไซต์ที่ชื่อว่า geocities ซึ่งเป็นแหล่งสร้างเว็บไซต์ส่วนตัวที่ฟรีและฮิตมากที่สุดในยุคนั้น ส่วนปี 1996 โปรแกรมแชตสุดฮิตในยุคนั้นถือกำเนิดเป็นครั้งแรกในชื่อว่า ICQ ที่คุณรู้จักเสียงเอฟเฟคขำขำว่า “โอ๊ะ โอ!!!”
ปี 1997 ถือกำเนิดเว็บไซต์ Hotmail ซึ่งเป็นบริการฟรีอีเมล รายแรกๆและฮิตที่สุดจนถึงปัจจุบันนี้  แล้วตามมาติดๆด้วยโปรแกรมแชต AOL Messenger รูปคนสีเหลือง ที่ฮิตมากในอเมริกา และ Google กำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี 1998 ก่อนกลายเป็นบริษัทใหญ่อันดับ 1 ในเรื่อง Search Engine และ เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในด้านโลกออนไลน์ด้วย
หลังปี 2001 ก็ถือกำเนิดเทคโนโลยีมากมายเช่น สารานุกรม Wikipedia, iPod, เว็บ Friendster, wordpress, linkedIn รวมถึงบริการ VOIP ชื่อดังอย่าง Skype ด้วย   ส่วน Facebook เกิดขึ้นในปี 2004 ก่อนกลายเป็นเว็ย Social Network ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบันนี้
Twitter กำเนิดขึ้นเมื่อปี 2006 ปีเดียวกันกับบริการ Slideshare.net ส่วน tumblr เกิดขึ้นในปี 2007 และ ที่สำคัญปฏิวัติวงการมือถือ เมื่อ Apple เปิดตัว iPhone รุ่นแรกในปี 2008
ปิดท้ายในปี 2011 Google ได้เปิดตัวบริการ Google+ ครั้งแรก ก่อนที่บริการ google จะเชื่อมทุกอย่างไปรวมที่ Google+ ด้วย  และบริการ social network เริ่มบริการครอบคลุมทุกอุปกรณ์ไอที ไม่ว่าจะเป็น PC, Notebook, Smartphone, Tablet และปิดท้ายข้อมูลด้วยจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ตอนนี้ มีคนใช้งานสูงถึง 2,400 ล้านรายทั่วโลก

social-media-history-infographic

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.it24hrs.com/2013/social-media-history-infographic-1969-2012-internet/

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Valentine’s รักจะกำหนดตัวเอง EP.5 สุดทางรัก

ก่อนอื่นต้องสวัสดีวันอาทิตย์สุดพิเศษวันนี้ กับวันแห่งความรักที่ใครหลายๆ คนกำลังคิดว่าจะไป Surprise คนรักของคุณ หรือคนที่เราแอบชอบอย่างไรดี เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องมุ้งมิ้งฟริ้งฟริ้งน่ารักน่าฮักนะครับ ขอให้ทุกๆคนที่ได้อ่านบทความวันนี้มีความสุขมากๆ ในวันแห่งความสุขวันนี้นะครับ งั้นผมก็ขอจบบทความไว้เพียงเท่านี้เลยนะครับ ขอบคุณครับ จะบ้าหรือ!!! ด่าตัวเอง แหม๋ๆ ทำเนียนจบแบบนี้ ผมล้อเล่นนะครับ งั้นมาต่อกับตอนอวสาน ของซีรี่ส์บทความความรักกับการตลาดกันดีกว่า

 

“สุดทางรักของเราแล้วหรือ หือ? ทำไมมันเร็วอย่างนี้
ฉันจะทำยังไงดี ต้องจบตั้งแต่ไม่ทันเริ่มฝากหัวใจ…”

 

การเดินของความรักก็เปรียบเหมือน การเดินทางตามล่ามหาสมบัติบนเกาะร้าง ทำไมผมถึงบอกอย่างนั้น เพราะว่าผลลัพธ์จากการเดินทางผ่านอุปสรรค บุกป่าฝ่าดงไพร ลุยน้ำข้ามทะเล ขุดบ่อทรายหาของ แต่บางครั้งก็อาจจะคง้าน้ำเหลวกันไป หรืออาจจะได้เจอสมบัติชิ้นไม่ใหญ่ไม่เล็กเป็นรางวัล และถ้าโชคดีสุดๆ ก็จะได้มหาสมบัติชิ้นใหญ่โต



แล้วหันกลับมามองความรักของคุณล่ะครับ ตอนนี้ได้เจอกรุสมบัติที่ตามหามานานหรือยังครับ นักการตลาดบางคนก็อยู่สถานการณ์ไม่ต่างกับคุณๆ เหมือนกัน เพราะว่าก็กำลังนำทาง หรือวางเส้นทางสายนี้ เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาหาพวกเราให้เจอในที่สุด และภายใต้เงื่อนไขอีกข้อที่ต่างจากความรัก คือ ต้องเร็วที่สุด และก่อนคนอื่นๆ เสมอด้วย

 

เมื่อคุณเจอความรักแล้ว หรือจะไม่สมหวังกับความรักครั้งนี้ การเดินทางของความรักครั้งนี้ คงมาถึงจุดที่เรียกว่า “สุดทางรัก” และบางคนก็อาจจะพร้อมกับการเริ่มเดินทางครั้งใหม่ทันที หรืออาจจะขอพักซดน้ำใบบัวบกช้ำในกันสักพักหนึ่ง อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ สุดทางรักสำหรับนักการตลาด ไม่เคยมีจุดนี้ให้เห็นจริงๆ ครับ เรามีหน้าที่เดินย้อนกลับมาศึกษาเส้นทางเดินของลูกค้าเสมอว่า...

  • ถ้าเขาหลุดจากเส้นทางออกไปโดยการหลงทางจริงๆ เราก็ต้องมีเข็มทิศนำทางมาชี้ทางเดินของลูกค้าให้ถูกต้อง
  • ถ้าเขาโดยพายุทรายจากคู่แข่งมาพัดปลิวสะพัดพริ้วไป เราอาจจะต้องกลับมาวางแผนเริ่มต้นกันใหม่หมด
  • หรือถ้าเขาหยุดเดินเอง แล้ววกกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่ แบบนี้เราต้องมาสำรวจตัวเองด่วนๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราหรือเปล่า ที่ทำให้ลูกค้าย้อนศรกลับไปทันที

 


เจ้าเส้นทางเดินความรัก หรือเส้นทางล่ามหาสมบัติก็ตาม ในมุมของนักการตลาดจะเรียกว่า เส้นทางเดินของลูกค้า (Customer Journey) คุณเองไม่สามารถกำหนดทางเดินให้ลูกค้าเสมอไป แต่คุณกำหนดวิธีการเดินทางของลูกค้าได้นะครับ ไม่ว่าจะเส้นทางรัก หรือการเดินมาของลูกค้า เหมือนกันตรงที่ไม่ได้มีแนวทางเดินเส้นเดียวเสมอไป และระหว่างทางมีจุดให้ลุ้นตลอดระหว่างทาง บางครั้งก็ทำให้ไปต่อ พอแค่นี้ หรือหนีออกไปเลย อยู่ที่มือคุณเองแล้วว่าวันนี้จะปล่อยให้ความรัก หรือลูกค้าหลุดมือไป หรือจะดูแลทุกอย่างก้าวครั้งนี้ให้ดีที่สุดนะครับ สุดท้ายอยากบอกว่า การออกแบบการเดินทางครั้งนี้เป็นสิ่งไม่ยากครับ แต่หลายคนชอบมองข้ามผ่านบ่อยครั้งไป เราลองกลับมาเขียนดูสักครั้ง แล้วคุณจะรู้ว่ามันคุ้มค่าคารามายด์ทรายสีเพลิงจริงๆ ครับ ^_^



จบบริบูรณ์สำหรับ 5 ตอนพิเศษที่ผมเลือกมาเล่าเรื่องการตลาด ผ่านรูปแบบความรักต่างๆ มีความคิดเห็นกันอย่างไร มา Comment หรือแบ่งปันกันได้นะครับ ขอบคุณความคิดเห็นอันมีค่ากับผมล่วงหน้าครับ


ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก Google

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Valentine’s รักจะกำหนดตัวเอง EP.4 รักเราไม่เก่าเลย

เริ่มต้นตอนวันนี้ ผมอยากให้คุณผู้อ่านที่น่ารักทุกๆคน ลองหลับตาแล้วนึกภาพตามผมดูนะครับ ถ้าเราได้อยู่กับแฟนของเรา หรือคู่ชีวิตของเรา แล้วเขาบอกรักเราทุกวัน ดูแลเราทุกเวลา ใส่ใจเราตลอด เข้าใจเราเสมอ แบบนี้ชีวิตคู่ หรือการอยู่กับคนรักคงมีความสุขเสมอ เรียกว่า ฟินเฟร่อสุดๆฉุดไม่อยู่แน่ๆ (ขอลอกชื่อหนังเมย์ไหนไฟแรงเฟร่อหน่อยนะครับ) พิมพ์ไปพิมพ์มาก็เขินเองซะง้านผม 555 ถ้าเป็นแบบนี้ผมคิดว่า ส่วนหนึ่งจากเนื้อเพลงนี้ของพี่กบ ทรงสิทธิ์ คงอธิบายเรื่องนี้ได้ไม่ผิดแน่แท้
 
“รักของเรายังใหม่ ยังไม่เก่าเลย เหมือนวันเดิมที่เคย ทำอย่างนี้ 
แม้ว่าเราจับมือกันครั้งใด ก็สุขใจทุกที ไม่เคยจะมีสักทีที่เสื่อมคลาย
จะนานเพียงไหน จะพ้นไปกี่ปี ขอได้อยู่ใกล้ใกล้กัน 
ก็ยังคงรู้สึก เหมือนเดิมอย่างนั้น มันยังคงเหมือนเพิ่งรักกัน ไม่เปลี่ยนไปเลย…”


การรู้ใจกันของคนสองคน แค่มองตาก็รู้ใจแล้ว นอกจากจะใช้ได้กับการครองรักให้ยาวนาน การตลาดก็ยังใช้เรื่องเล็กๆ พวกนี้เหมือนกันนะครับ เราเคยสงสัยหรือเปล่าว่า ทำไมพนักงานรู้ใจว่าเราต้องการจะสั่งอะไร หรืออยากได้อะไร หรือชอบอย่างงี้ แต่ไม่ชอบอย่างงั้น หรือคนเหล่านี้สัมผัสถึงพลังงานบางอย่างรอบๆ ตัวเราได้หรอ หรือมีญาณทิพย์แน่นอนเลย!!!

คำตอบสั้นๆ คือ ไม่ใช่ครับ ตัวช่วยของเรื่องนี้จริงๆ ได้แก่สิ่งที่เรียกว่า "ข้อมูล" จะเข้ามาช่วยตอบเรื่องพวกนี้ได้ครับ การที่คุณเดินไปซื้อกาแฟทุกวันที่ร้านแห่งหนึ่ง พนักงานบางคนก็จะเริ่มจดจำคุณตั้งแต่ชื่อก่อน แล้วก็ขยับมาเป็นสิ่งที่คุณชอบทาน และสุดท้ายก็รู้ถึงสูตรกาแฟที่คุณชอบ ต้องเติมน้ำตาลกี่ช้อน ใส่นมแบบสูตรพร่องมันเนย ประมาณว่าเดินมาถึงหน้าร้านปุ๊บ ยังไม่ทันอ้าปากเลย ก็รู้ใจทันทีว่าคุณต้องการอะไร แบบนี้ถูกใจ...ใช่เลยอ่ะ


แล้วทำแบบนี้ข้อดีคืออะไรกันแน่??? หลายคนคงมีคำถามนี้เกิดขึ้นมา

ผมขอบอกว่าการทำแบบนี้จะช่วยสิ่งที่เรียกว่า CEM หรือ Customer Experience Management (ซึ่งในวันข้างหน้า ผมจะมาเล่าเรื่องนี้แบบเต็มๆ อีกครั้งนะครับ) การดูแลลูกค้าในลักษณะนี้จะช่วยทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า สบายใจ ปลอดภัย อุ่นใจเมื่อมาใช้บริการกับเรา หรือเข้ามาหาเรา ดังนั้นเมื่อลูกค้ารู้สึกลักษณะแบบนี้ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นของลูกค้ากับเราเพิ่มมากยิ่งขึ้น ประมาณว่าความสัมพันธ์แนบแน่นซี้ย่ำปึ้ก ลูกค้าก็จะอยู่กับเราไปนานแสนนาน ซึ่งเราอาจจะกลายเป็นที่ 1 ในใจของลูกค้าได้ โดยไม่รู้ตัว และลูกค้ารู้สึกดีก็ยิ่งอยากจะแนะนำเราให้กับคนอื่นๆ ต่อไปได้ด้วย


รู้อย่างงี้แล้ว แค่เริ่มใส่ใจจากจุดเล็กๆ จากลูกค้าของเรา อาจจะเปลี่ยนเป็นพลังความรักแบบไม่รู้จบจากลูกค้า และคนรอบข้างของลูกค้าเราได้นะครับ ลองค่อยๆ เก็บข้อมูลทีละนิด วันละหน่อย สะสมไปเรื่อยๆ คุณอาจจะกลายเป็นคนรักของลูกค้าโดยปริยาย รักแบบนี้ดีและคุ้มค่าแน่นอนครับ และอย่าลืมติดตามตอนสุดท้ายของความรักในมุมมองนักการตลาดกันต่อนะครับ แล้วพบกันครับที่นี่ที่เดิม ที่เพิ่มเติมคือความรักจากผมครับ ^_^

ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก Google

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Valentine’s รักจะกำหนดตัวเอง EP.3 เหงาเมื่อไร แค่โทรมา

เดินทางมาถึงครึ่งทางสำหรับบทความพิเศษ ของสัปดาห์แห่งโลกสีชมพูฟูฟ่องด้วยความรักแล้วนะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาดูแนวความรักในตอนวันนี้กันดีกว่านะครับ หลายๆ คนเริ่มต้นความรักของตัวเองด้วยการวิ่งเข้าไปหาใครสักคน หรือโชคดีที่ขณะรอใครบางคนก็มีฟ้าประทานคนส่งมาให้รักก็มี แต่ในทางกลับกัน มีหลายคนที่ชอบขออยู่โดดเดียวก็มีความสุขได้ ที่ผมพูดแบบนั้นเพราะว่า...

ทางเอ็นไวโรเซล (ประเทศไทย) ที่ปรึกษาด้านพฤติกรรมผู้บริโภคได้บอกว่า 1 ใน 6 ค่านิยมของคนไทยในปี 2559 นั่นคือกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า "สันโดษนิยม" (ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าอีกหลายๆ ค่านิยมที่น่าสนใจที่เหลือกันต่อนะครับ) ทำไมถึงเป็นอย่างงั้นล่ะครับพี่น้อง เนื่องจากประมาณ 25% ของคนเราใช้เวลาไปกับสื่อสังคมโลกออนไลน์ มากกว่าสังคมจริงๆ ที่จับต้องได้ของเราซะอีก และยังเพลิดเพลินมากเมื่ออยู่ในโลกดิจิตอล สังคมเสมือนที่บอกไป เป็นสังคมที่ใครจะ Share, Post, Like ได้ตลอด มีปัญหาอะไรลองถาม หรือตั้งกระทู้ไปก็มีคนมาตอบ หรือแนะนำ หรือคอยช่วยเหลือหาแนวทางจัดการให้


มนุษย์จะค่อยๆ พัฒนาไปสู่การสังคมแบบดิจิตอล คือ หาเพื่อนที่เป็นผู้รับฟังที่ดี โดยไม่ตอบโต้หรือแสดงความเห็นเชิงลบ และสุดท้ายจะมีเพื่อนในรูปแบบดิจิตอลจริงๆ นั่นคือหุ่นยนต์นั่นเอง โดยมนุษย์ยุค 2016 จะไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากนักกับการไม่เจอเพื่อน แต่ 79% จะกังวล ถ้าไม่มีโทรศัพท์ติดตัว 


นอกจากนี้ การรับประทานอาหารคนเดียว (solo dinner) เติบโตถึง 62% ในประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วง ปีที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ขณะเดียวกันปี 2015 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางคนเดียวถึง 24% เติบโตขึ้น 10% (จาก 15% ในปี 2013) และมีการคาดการณ์ว่า ที่อยู่อาศัยแบบอยู่คนเดียว จะมีอัตราการเติบโตสูงที่สุด มนุษย์จะมีความเกี่ยวพันกันน้อยลงเรื่อยๆ

เห็นข้อมูลแบบนี้แล้วธุรกิจไหนที่ตอบโจทย์ชาวเหงาเปล่าเปลียวหัวจิตหัวใจก็คงยิ้มออกนะครับ แต่อย่าลืมประเด็นสำคัญที่ว่า ต้องหาจุดยืนที่ชัดเจนให้กับสินค้าหรือบริการของเราด้วย ผมขอยกตัวอย่างแนวผสมผสานหลายๆกลุ่มลูกค้า รวมถึงกลุ่มสันโดษนิยมเข้าไปด้วยกัน จาก Hostel ย่านนิมานฯ ของจังหวัดเชียงใหม่แห่งหนึ่ง ที่มีห้องพักหลากหลายแบบ และแยกชั้นแยกสัดส่วนกันไป ใครมาคนเดียวก็อยู่ชั้นคนเดียว Single Floor, แบบคู่ก็อยู่อีกชั้นที่เป็นห้องคู่ชื่นมื่น Couple Floor, ส่วนใครมายกแพ็คเที่ยวยกก๊วนตั้งแต่ 4 คนขึ้นไปแบบหอพักเตียง 2 ชั้น และขยายไปจนถึงห้องแบบ 8 คน ในที่ที่เดียว กับ Dorm Zone ชั้นบนสุด งานนี้คุณจะเป็นคนกลุ่มไหนที่นี่ก็สามารถเติมเต็มให้คุณได้เสมอเลย เก็บทุกกลุ่มครบจบเลยนั่นเอง


ก่อนจากไปกับตอนนี้ของฝากเนื้อเพลงให้เหงาๆ กันต่อไป เพื่อตอกย้ำความคิดสันโดษนิยมกันนะครับ จากศิลปิน คุณเบล สุพล แล้วพบกันใหม่กับ Episode ที่ 4 ของความรักกับการตลาดกันต่อครับ

"อยู่คนเดียวหรือเปล่า ห่วงว่าเธอนั้นเหงา ไม่มีใคร

ใครคนนั้นอยู่ไหน ทิ้งให้เธอเป็นคน ที่ต้องรอ
แค่นึกถึงฉันบ้าง แค่ระบายให้ฟัง บ้างก็พอ
สิ่งที่ฉันจะขอ ฉันยินดีจะรอ เป็นเพื่อนเธอ..."

ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก Google

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Valentine’s รักจะกำหนดตัวเอง EP.2 กะทันหัน

พูดถึงความรักบางครั้ง พอจะมาก็วิ่งเร็วสูงแบบ 4x100 เข้ามาปะทะหน้าเราบ้าง หรือบางคราวก็รอนานไป จนสนิมขึ้นเกะาจนเกรอะกรังก็มีเช่นกัน แต่ถ้าคิดว่าใครบางคนดันจับโชคทองจากซองมาม่า ได้วิ่งเข้ามารักเรากะทันหัน คุณจะทำยังไงล่ะครับ??? จะปล่อยให้เขาหลุดมือ หรือตีหัวลากเข้าถ้ำเลย อิอิ อันนี้แล้วแต่การตัดสินใจของคุณๆ กันเลย ทาง #การตลาด3ช่า ขอไม่ชี้นำในประเด็นนี้ดีกว่า

แต่เรื่องที่อยากจะชูดังปังเวอร์ขึ้นมาวันนี้ คือ ถ้าลูกค้าเข้ามาเราแบบกะทันหันบ้าง เราจะทำยังไงดีอ่ะครับ ก่อนที่จะตระหนกกันไป ก่อนอื่นมาดูกันก่อนดีกว่าว่า ลูกค้าวิ่งเข้ามาหาแบบฉุกเฉินจะมีแบบไหนบ้าง


แบบแรก เราคือคำตอบของลูกค้า ถ้าเปรียบกับความรัก ก็คงเหมือนกับเรียกว่าคนสองคนตรงสเป๊กแบบเป๊ะเช๊ะ 100% เลย ถ้าเดินเข้ามาใช้บริการร้านของเรา คุณก็อย่าลืมดูแลให้ดี อย่าปล่อยให้เธอลอยนวล เพราะถ้าทำให้เขาประทับใจ โอกาสที่จะกลับมาหาเราใหม่ก็มี หรือเหมือนสามารถสานต่อความรักให้ไปต่อกันได้

แบบที่สองแบบนี้ ตัวเราคือตัวเลือกของลูกค้า ถ้ามองในมุมโลกของความรัก อาจจะดูว่าเรากำลังน่าอินเลิฟ แต่เราก้ดันมีคู่แข่งหัวใจที่อาจจะลงสนามรักกับเราอยู่พร้อมๆ กันเลย แต่สิ่งเกิดขึ้นกับเรา คือ ถ้าเราจะพิชิตหัวใจคนคนนี้ให้ได้ ต้องรีบหาให้เจอเร็วที่สุดเลยว่า เขาชอบอะไรเรา และไม่ชอบอะไรเรา เพื่อรีบจัดการแก้ไขจุดบกพร่อง จะได้ไม่ตกร่องเรื่องความรัก จนคนคนนี้เมินหน้าหนีหายจากเราไป เรียกว่าอนาคตอาจจะกู่กลับมาไม่ได้นะครับ


แบบสุดท้าย แบบนี้ทิ้งดิ่งเลวร้ายสุดๆ ในมุมของลูกค้าเราคือทางผ่าน เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ไหมครับ ลุกค้าเดินเข้ามาในร้านแล้ว เข้ามาสอบถามราคา จับนู้นนี่นั่น เช็คไปเช็คมาก็จากกันไปแบบไม่มีสาเหตุให้ได้รู้เลย ในมุมนี้มองได้สองแบบนะครับ อันหนึ่งผลิตภัณฑ์ของเราอาจจะไม่ตอบความต้องการของลูกค้าเราได้ และอีกแนว คือ ตัวเราเองหรือเปล่าที่ทำให้เขาไม่ปลื้ม อาทิ เว็บไซด์ใช้ยากเข้ามาแล้วไม่โอเคก็เลยสะบัดเม้าส์คลิ๊กปิดไป, ตัวเราเองหน้าบูดบึ้งเซ้งเป็ดเซ็งห่าน, ลูกค้ารอเรานานเกินไป รอแล้วรอเล่า จนหน้างอคอหักยิ่งกว่าปลาทูตลาดดังแล้ว ถ้าเจอแบบนี้ในมุมความรักอาจจะต้องตัดใจไปแล้ว แต่ถ้าการตลาดอาจจะต้องเก็บเป็นประสบการณ์ เพื่อนำเอามาปรับปรุงในธุรกิจของคุณดีขึ้น ลองรวบรวมจากสิ่งที่ลูกค้าแนะนำไว้ หรือสอบถามลูกค้าในบทสนทนาที่ได้มีการคุยกันก็ได้นะครับ

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม การดูแลลูกค้าให้ประทับใจ หรือได้รับบริการที่ตามมาตราฐานที่เราได้ตั้งเอาไว้ คือ สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ใครจะไปรู้ว่าวันแรกที่เข้ามาแล้วเราคือแค่ทางผ่าน ในวันข้างหน้าอาจจะเขยิบความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นได้เรื่อยๆ ก็มีให้เราเห็นอยู่ในสังคมทั่วไปครับ ลองทำดูครับ

"ทำให้ลูกค้ารักเราทุกนาที ไม่ว่าจะเจอกันตอนไหน 
หรือกะทันหันก็ตาม ลูกค้าก็รักเราเสมอนะ..." 

พรุ่งนี้มาติดตามกันต่อความ Episode ที่ 3 ของสัปดาห์แห่งความรักในแนว #การตลาด3ช่า ครับ

ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก Google ครับ

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Valentine’s รักจะกำหนดตัวเอง EP.1 รักแรกพบ

“มีจริงหรือ รักแรกพบเพียงสบตาแค่หนึ่งครั้ง

แค่แรกเห็นเดินผ่านมาไม่พูดจา
ไม่ทักไม่ทาย ไม่รู้ว่าใคร เหตุใดจึงรักกัน


เปิดบทความยาว 5 ตอนของ #การตลาด3ช่า ใน Concept Valentine’s รักจะกำหนดตัวเอง” ด้วยเนื้อเพลงจากวง Tattoo Colour ซึ่งเป็นตอนที่อยากพูดถึงเรื่อง “รักแรกพบ” เคยมีอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้กันบ้างหรือเปล่าครับ เวลาเราเจอะเจอใครสักคนแล้วแบบว่า ถูกใจ...ใช่เลย!!!, เลือกได้ขอเป็นพ่อหรือแม่ของลูกในอนาคตทันที, ขอได้เดทสักครั้งแล้วจะตั้งใจเรียน หรือตั้งใจทำงาน, ขอเปิดไฟรักใส่ได้ป่าว และอื่นๆ อีกมากมาย ใครที่บอกว่าไม่เคย ผมแอบไม่เชื่อเล็กน้อย อิอิ นั่นแน่ สารภาพมาเลย รู้นะว่าเคยมีประสบการณ์ #รักแรกพบ กันอยู่แล้ว คำถามที่แฟนๆ ประจำเพจนี้ คงสงสัยว่า...


รักแรกพบ กับการตลาด เกี่ยวดองคล้องใจกันอย่างไร ??? ผมมาแถลงไขให้ฟังครับ

ในมุมของคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ หรือเจ้าของร้านค้าต่างๆ เราเห็นอยู่แล้วว่าบนโลกใบนี้มีคนอยู่มากมาย และในกลุ่มคนหมู่มากนี้ น่าจะมีใครสักคนที่พอเป็นลูกค้าเราได้ ถูกต้องไหมครับ แต่คำถามที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ก็คือ แล้วมหาชนคนเหล่านี้จะรู้จักเราได้อย่างไรล่ะครับ

คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้กันบ้างไหมครับ
  • เดินผ่านไปทานข้าวเที่ยงเจอแล้วร้านข้าวที่ชื่อสะดุดตา หรือแต่งร้านสวยดี
  • ได้ยินข้อความที่คุณป่าวประกาศ แล้วข้อความโดนใจเข้าไปกระแทกกระดูกค้อน ทั่ง โกลนในหูคนนั้น
  • เปิดหาข้อมูลบนเว็บไซด์ เรารู้สึกว่าเว็บนี้ใช้งานง่ายดี ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเกินไปเหมือนเว็บอื่น



ผมขอเรียกว่าปรากฎการที่ใครสักคนรู้จักคุณจะวินาทีแว่บแรกที่บอกไปด้านบนว่า “รักแรกพบ” ครับ ทำไมผมถึงเรียกแบบนั้นล่ะ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการตัดสินใจของคนที่กำลังสนใจ หรือไม่สนใจคุณ ด้วยตัวแปรที่คุณควบคุมไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่คุณทำได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือ การทำให้คนเห็น หรือพบเจอได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าภาษานักการตลาดเท่ากับ Reach หรือการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง 

บางคนอาจจะเห็นคุณจะการเดินผ่านโฉบหน้าให้เห็นเลย บางทีก็อาจจะหาจาก Google แล้ววิ่งเข้าไปที่หน้าร้าน Online ของคุณ หรือเว็บไซด์ที่คุณทำอยู่ หรือแม้แต่ Facebook ก็เช่นกันครับ อ่านมาถึงตรงนี้ ผมอยากให้คุณลองสำรวจตรวจตรากันสักหน่อยว่า จุดที่จะให้ใครบางคนเข้ามาเจอคุณในวินาทีแรก คุณได้ทำความประทับใจให้ แบบรูปสวยรวยเสน่ห์ หรือในทางกลับกันกับส่งมอบสิ่งที่ไม่ปลื้มให้กันแน่ แบบไม่ไหวจะเคลียร์ อ่อนเพลียจะคุย งั้นก็ขอไปก่อนแล้วกัน



ก่อนจากกันไปวันนี้การทำให้ลูกค้าประทับใจในครั้งแรกที่ได้เจอเราเป็นสิ่งที่สำคัญ แม้ว่าคนคนนั้นอาจจะยังไม่ใช่ลูกค้าเราในวันนี้ แต่วันข้างหน้าก็ไม่แน่นะครับ ดังนั้น อุตส่าห์ลงแรง “สร้างรักแรกพบ ก็อย่าให้จบในทันที” นะครับ แล้วพบกันใหม่วันพรุ่งนี้ครับ

ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก Google

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ปาท่องโก๋มังกรขายช่วงตรุษจีนต้องต่อคิวซื้อวันละ 100 ตัว

สภาพอากาศที่หนาวเย็นอีกระลอกทำให้เจ้าของร้านปาท่องโก๋ ดีกรีปริญญาโท ทำปาท่องโก๋สัตว์ประหลาดขายที่เชียงใหม่ขายดิบขายดี โดยเฉพาะปาท่องโก๋มังกรในช่วงเทศกาลตรุษจีน นักท่องเที่ยวจีนแห่ถ่ายภาพ
ฮือฮา! พ่อค้าดีกรี ป.โททำปาท่องโก๋มังกรขายช่วงตรุษจีนต้องต่อคิวซื้อวันละ 100 ตัว

ที่จังหวัดเชียงใหม่จากสภาพอากาศที่หนาวเย็นระลอกใหม่ และอยู่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ร้านปาท่องโก๋ สัตว์ประหลาด ยามเช้า บริเวณซอยข้างตลาดวโรรส ในตัวเมืองเชียงใหม่ หรือร้านโกเหน่ง มีลูกค้าทั้งคนไทย และชาวจีนมานั่งอุดหนุนกันจำนวนมากจนไม่มีที่นั่งต้องยืนรอ สาเหตุที่มีคนรอซื้อจำนวนมากเพราะร้านปาท่องโก๋ที่นี่ทำปาท่องโก๋แปลกจากร้านอื่นทั่วไป มีการนำแป้งมาปั้นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ขายรวมกับปาท่องโก๋ทั่วไปด้วยพร้อมกับน้ำเต้าหู้ ทำให้เป็นที่รู้จักและขายดี และในช่วงนี้เป็นเทศกาลตรุษจีน มีลูกค้ามาสั่งซื้อปาท่องโก๋สัตว์ประหลาดจำนวนมากจนทอดไม่ทัน ทำให้ลูกค้าต้องรอคิวนานไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง มีทั้งนั่งรับประทานที่ร้านและซื้อกลับบ้าน

ฮือฮา! พ่อค้าดีกรี ป.โททำปาท่องโก๋มังกรขายช่วงตรุษจีนต้องต่อคิวซื้อวันละ 100 ตัว

โกเหน่งเจ้าของร้าน ดีกรีจบปริญญาโท บอกว่าช่วงนี้น้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ขายดีมากประกอบกับเป็นช่วงตรุษจีน ปาท่องโก๋สัตว์ประหลาดขายดีวันละกว่า 100 ตัว โดยเฉพาะมังกรขายดีที่สุดทำให้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนแวะมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วย ปาท่องโก๋มังกรขายตัวละ 30 บาท ส่วนไดโนเสาร์ตัวละ 20 บาท และโอกาสช่วงเทศกาลตรุษจีนได้มีการแจกพวงกุญแจรูปปาท่องโก๋ให้แก่ลูกค้าด้วย 

ฮือฮา! พ่อค้าดีกรี ป.โททำปาท่องโก๋มังกรขายช่วงตรุษจีนต้องต่อคิวซื้อวันละ 100 ตัว

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ต่อยอดธุรกิจให้น่าสนใจมากขึ้น จากปาท่องโก๋ที่เราเห็นกันทุกๆวันก็กลายเป็นของที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เพียงแค่ใส่รายละเอียดลงไปนะครับ แล้วธุรกิจของคุณล่ะ ได้ลองใส่อะไรลงไปหน่อย หรือปรับเสริมเพิ่มแต้มสีสัน ก็สามารถเปลี่ยนเป็นหนึ่งผลงานสร้างสรรค์ที่ทำให้ได้รายได้เพิ่มขึ้นได้นะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9590000013585

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

วาดรูปจนได้เรื่อง!!!

วาดรูปจนได้เรื่อง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เป็นความจริงของหญิงสาว 2 คน ที่ค้นพบว่าภาพวาดของเธอนั้นมีคุณค่าทางใจมากกว่าสายตามองเห็น
สาลินี รัตนชัยสิทธิ์ นักวาดภาพประกอบอิสระ ในนามของ CyranoDesign
กว่าจะมาเป็น คุณสา ที่มีคนมาเข้าคิวจองให้เธอวาดรูปเหมือนบนเคสโทรศัพท์มือถือและผ้าพันคอ ซึ่งเปิดรับคิวปีละ 2 ครั้งทางอินสตราแกรม Cyrano Design (เดิมใช้ชื่อว่า Cyrano de Salinian)
สาเล่าว่าชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็กๆ วาดมาเรื่อยๆไม่ได้คิดว่าจะเรียนต่อหรือทำงานทางด้านศิลปะแต่อย่างใด เพราะชื่นชอบการแสดงมากกว่า ครั้นได้เข้ามาเรียนที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้ได้ใช้ฝีมือในการออกแบบฉากบ้างตามสมควร
“ตอนเรียนอยู่ปี 3ไปทำงานองค์การนักศึกษา มีโอกาสไป 3 จังหวัดชายแดน ตอนนั้นรู้สึกว่าอยากทำงานเป็นปากเป็นเสียงให้กับสังคมพอดีกับอ่านจากหนังสือพิมพ์ว่ารายการตาสว่าง ของพี่ดู๋ (สัญญา คุณากร) เปิดรับคน เลยเข้าไปสมัครและได้ทำงานที่รายการตาสว่าง ตอนนั้นรู้แค่ว่าเราจะได้นำเรื่องราวในสังคมมาบอกเล่ากับผู้คน พอเข้าไปทำจริงต้องมีความบันเทิงเข้ามาด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเรียนมาพอดี แม้ไม่ได้เรียนมาโดยตรง
ทำงานเป็นครีเอทีฟรายการตาสว่าง จนรายการปิดตัวลง ย้ายมาเป็นครีเอทีฟรายการที่นี่หมอชิต ระหว่างนั้นก็วาดภาพ ประดิษฐ์ของเล่นให้เป็นของขวัญวันเกิดอยู่เรื่อยๆ จนมีอินสตราแกรม โพสต์ภาพวาดลงไป มีคนมากดไลค์ แรกๆเป็นเพื่อน เป็นญาติกันเอง ต่อมากลายเป็นมีคนไม่รู้จักมากดไลค์เรื่อยๆ เวลาเราโพสต์ไปก็ทำให้มีคนรู้จักลายเส้นของเรามากขึ้น”
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อสาวาดรูปเหมือนให้กับ นุ่น - วรนุช ภิรมย์ภักดี
“พอคนเห็นผลงานของเราผ่านไอจีพี่นุ่นเขาก็เริ่มมาตามไอจีเรา ต้องขอบคุณพี่นุ่นด้วย ตอนนั้นไม่ได้คิดอยากทำอะไร แค่ชอบวาดรูปต่อไปเรื่อยๆ ช่วงนั้นเริ่มใช้ไอโฟน ต้องหาเคส ใช้อะไรดี ไม่อยากเหมือนใคร วาดรูปใส่กระดาษ ซื้อเคสใสหน้าตึกแกรมมี่เอามาแปะกัน ตอนนั้นทำให้พี่นุ่นด้วยเพราะว่าเราเคยวาดรูปพี่นุ่นแล้ว ลองทำเคสเป็นรูปพี่นุ่นเลยดีกว่า ปรากฏว่าเขาชอบมาก ถ่ายรูปไปลงไอจีอีก คราวนี้มีคนชอบถามมาเรื่อยๆ เพื่อนๆก็เชียร์ว่าให้ทำเป็นงานอดิเรก หนูก็โอเค รับวาดแต่ว่ารับจำนวนจำกัดเท่านั้นนะคะ
หนูบอกว่าหนูทำงานประจำนะ กติกาของหนู บอกว่าวันนี้เปิดรับจอง บอกล่วงหน้าทางไอจีหนึ่งวันว่าพรุ่งนี้จะเปิดรับจองนะ ประมาณ 50 คิว มาลงชื่อ เต็มแล้วจะปิดรับ จะทำตามลำดับคิว ต้องเป็นลูกค้าที่รอได้นะเพราะว่าเราไม่ได้มีเวลาวาดตลอด พอเราเปิดรับ คนมาจองครบ ก็จะบอกว่า รบกวนรอปีหน้า ลูกค้าที่ไม่ทันก็บ่นว่าอยากได้ๆ แต่ก็รอปีหน้าทำไปทีละคิว คนสุดท้ายรอหกเดือน”
จากวาดรูปใส่กระดาษแปะกับเคสพลาสติกใส สาติดต่อซัพพลายเออร์พิมพ์ภาพที่เธอวาดลงในเคสโทรศัพท์อย่างดี ในราคาเริ่มต้น 1,850 บาท สำหรับเคสโทรศัพท์หนึ่งเดียวในโลกที่ไม่เหมือนใครและที่สำคัญเป็นรูปวาดของคุณที่มีสไตล์ชวนมอง
เมื่อมีเคสโทรศัพท์แล้ว สาวๆก็อยากจะมีผ้าพันคอเป็นของตัวเองด้วยเช่นกัน คราวนี้งานอดิเรกชักเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับเมื่อมีคนเห็นลายเส้นของเธอมากขึ้นก็ชวนไปวาดรูปผนังรีสอร์ท และร้านอาหารหลายๆแห่ง
จนมาถึงวันที่เธอคิดว่าคงต้องลาออกจากงานประจำ มาทำงานอดิเรกอย่างจริงจัง พร้อมกับพัฒนาผลงานศิลปะด้วยการสร้างแบรนด์ เดิมใช้นามปากกาบนภาพว่า Cyrano de Salinian ซึ่งหลายคนบอกว่าอ่านยาก สมัครใจเรียกเคสคุณสามากกว่า มาปรับเป็น Cyrano Design สร้างสรรค์เคสลวดลายในสไตล์ของเธอออกมาเป็นเคสโทรศัพท์ ผ้าพันคอ เข็มกลัด หมอนอิง และกระเป๋าผ้า โดยมีช่องทางขายหลักทางไอจี Cyrano Design “วาดรูปไปเรื่อยๆ บางครั้งเคยคิดจะเลิกรับวาดเฉพาะส่วนบุคคล เพราะพอมาทำงานจริงจังบางครั้งเราก็เหนื่อยบ้าง เครียดบ้าง แต่พอได้รับฟีดแบ็คจากลูกค้า ภาพที่เราวาดไปเป็นภาพที่มีความหมายสำหรับเขา เป็นของขวัญชิ้นพิเศษที่ทำให้เฉพาะคนๆนั้น เราก็รู้สึกปลื้มมาก
มีลูกค้ารายหนึ่งเป็นเป็นตำรวจอยากทำผ้าพันคอให้แฟน ทีแรกต้องส่งไปสมุย วันนึงเขามาบอกว่าไม่ต้องส่งไปสมุยแล้ว เพราะว่าแฟนขึ้นมาผ่าตัดที่กรุงเทพฯ คือไม่ได้ร้ายแรง แต่กลายเป็นว่าเขาจะต้องมาเลี้ยงฉลองวันครบรอบแต่งงานที่โรงพยาบาลแทน
วันนั้นคุณตำรวจพาวงดนตรีเล็กๆที่เคยไปเล่นงานแต่งงานมาบรรเลงในโรงพยาบาล มีของขวัญเป็นผ้าพันคอที่สาวทำวางอยู่บนเตียง บางทีเราคิดว่าเราแค่วาดรูปให้เขา มันเป็นของสำคัญสำหรับเขา
บางครั้งเราคิดว่าเป็นงานวาดรูปที่ทำไปเรื่อยๆ แต่งานของเราทุกชิ้นมันมีความหมายสำหรับเขามาก ได้เห็นสิ่งที่คุณตำรวจคนนี้ทำให้ภรรยาได้เห็นภาพและข้อความที่เขาพิมพ์บอกเรามายิ่งทำให้เรารู้สึกว่าถ้าเราหยุดรับคงไม่ได้ ในเมื่องานของเรามีความหมายต่อผู้อื่น เราจงทำต่อไป” สาลินี ตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง
ได้วาดรูปที่ชอบถือเป็นความสุขแล้ว แต่เห็นคนชอบรูปที่เราวาดนั้นความสุขคูณสองขึ้นมาทันใด
ส่วนใครที่ชื่นชอบลายเส้นของสา ติดตามผลงานของเธอได้ทาง www.facebook.com/cyranodesalinianART และ IG: www.instagram.com/cyranodesalinian
ทรัพย์มณี ชัยแสนสุข เจ้าของนิทรรศการภาพเขียนสีน้ำ A Little More
ชวนคุณไปสำรวจความงดงามของสิ่งเล็กๆรอบตัวเรา
ทรัพย์มณี หรือ ตุ่ย เป็นสถาปนิกชุมชนที่พี่ๆในกลุ่มบางกอก สเก็ตเชอร์ กล่าวขานเธอว่า ชอบเขียนรูปอย่างบ้างคลั่ง ถึงขนาดที่ว่าตอนป่วยเกือบจะเป็นมะเร็ง มีคนถามว่าอยากจะทำอะไรมากที่สุด ตุ่ยบอกว่า “จะวาดรูป”
หลังจากพักฟื้นหลังการผ่าตัด และทราบข่าวดีว่าไม่ได้เป็นโรคร้าย ตุ่ยก็ยังคงระบายสีน้ำอย่างบ้าคลั่งต่อไป
เรื่องเล่าขานนี้เป็นความจริงหรือไม่ เจ้าตัวตอบยิ้มๆว่า “ค่ะ”
“วาดรูปตั้งแต่ปี 2552 ตอนนั้นป่วยด้วยโรคกระดูก ไปผ่าตัด กลัวว่าจะเป็นมะเร็ง ทำให้เริ่มหาว่าอยากจะทำอะไร ระหว่างรอผลตรวจก็เครียด กังวล ระหว่างพักฟื้นก็เอาพู่กันกับสีน้ำที่มีอยู่มานั่งวาด พอวาดแล้วเริ่มรู้สึกดี เริ่มสนุก ทำให้วาดไปเรื่อยๆ
ผลตรวจปรากฏว่าไม่ได้เป็นอะไรก็โอเค วาดรูปต่อ คือ ชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ใช้สีน้ำ จนมาถึงมัธยม พอมาเรียนสถาปัตย์ที่ธรรมศาสตร์ไม่ค่อยได้วาด ไม่ค่อยมีเวลา อย่างมากก็ไปสเก็ตช์รูปแต่ไม่ได้ลงสีจริงจัง พอเรากลับไปทำรู้สึกสนุก เหมือนเป็นสิ่งที่เราอยู่กับมัน ใช้เวลาอยู่กับสิ่งที่ชอบ ค้นหาไปเรื่อยๆ ตอนนั้นวาดเยอะมาก
เห็นอะไรก็วาด เป็นภาพวิวที่เคยไปเที่ยวมา ถ่ายรูปเก็บไว้แล้ววาดจากรูปถ่าย ต่อมาได้เจอกับกลุ่มบางกอก สเก็ตเชอร์ พี่อัศนีหัวหน้ากลุ่มชวนไปสเก็ตช์รูป พอไปแล้วทำให้เราไม่กลัวการสเก็ตช์รูป ปกติเราจะวาดอยู่ในมุมตัวเอง สวยไม่สวยดูคนเดียว
วาดสบายๆขึ้น ปกติเราชอบคิดว่าเราวาดสวยหรือไม่สวย พอเราไปสเก็ตช์กับทางกลุ่ม เหมือนเป็นการเพิ่มทักษะในการมอง นำสิ่งที่เห็นมาวาดเป็นภาพ ได้ทักษะ ได้แลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนในกลุ่ม”
ตุ่ย ใช้เวลาหลังเลิกงานวาดรูปสีน้ำอยู่ที่บ้านจนดึกเป็นอย่างนี้ทุกวัน แทบไม่ยอมนอน
“ใช่ค่ะ เหมือนเราเจอสิ่งที่เราชอบ ทำอยู่อย่างนั้นไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เหมือนเรากับสีน้ำทำงานร่วมกัน เหมือนสีน้ำเป็นเพื่อนเรา เหมือนเราคุยกันว่า สมมติว่าเราลงมีแบบนี้แล้วจะเกิดเอฟเฟคอะไรขึ้นมา มันก็ขึ้นมาให้เห็น โอเค งั้นเราจะลองจินตนาการกับเอฟเฟคที่เกิดขึ้นเหล่านี้นะ
ช่วงแรกๆวาดทุกวัน หลังเลิกงาน มีเวลาว่างวาด นอนดึก เหมือนเราได้อยู่กับตัวเอง มีสมาธิ เหมือนอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า”
นิทรรศการแสดงภาพเขียนสีน้ำครั้งแรกของตุ่ย เกิดขึ้นในอีก 3 ปี ถัดมา ที่แคสเซีย คาเฟ่และทีรูม สุขุมวิท 31
“ช่วงนั้นเป็นภาพวาดแนวเหมือนจริง วาดวิวที่เราเคยไปเที่ยว สถานที่ต่างๆที่เราเคยไปสเก็ตช์ ได้รับการตอบรับดี คนชอบ ส่วนตัวเราเองได้เห็นอะไรบางอย่างที่รู้สึกว่าเฉพาะทางมากขึ้น บางรูปที่เรารู้สึกว่าอยากพัฒนาต่อยอดขึ้นไปอีก
จากนิทรรศการครั้งแรกมาถึงครั้งที่สองเราเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง พยายามถ่ายทอดสิ่งที่เราเห็นออกมาเป็นภาพ อารมณ์คล้ายกับภาพถ่ายที่เราใส่ความรู้สึกตัวเองลงไปด้วย ถามตัวเองว่าเราสามารถคิดได้มากกว่าสิ่งที่เห็นหรือเปล่า
เช่น ถ้าเรามองเห็นรังนกแล้วจะเป็นอะไรขึ้นมา ตอนนั้นไม่ค่อยมีจินตนาการมากมาย เพียงแต่อยากรู้ว่าเราจะทำได้หรือเปล่า เลยใช้วิธีมองสิ่งรอบตัวแล้วจินตนาการลงไปว่าจะเป็นอะไรได้บ้าง ทำให้ออกมาเป็นแนวที่หนีออกมาจากความจริง เก็บข้อมูลจากธรรมชาติแล้วใช้สมองกลั่นกรองออกมา ว่าเราคิดออกมาอย่างไรในภาพนั้นๆ
แต่ภาพในสมอง ไม่ได้ชัดเป๊ะๆ แต่พอมาวาดลงในกระดาษเราก็ต่อยอดไปอีก ใช้วิธีคิดอย่างนี้ต่อมาเรื่อยๆจนถึงนิทรรศการครั้งที่ 5 ที่นี้ คิดถึงชีวิตเล็กๆ เช่นใบไม้ทับถมกัน รากไม้ เป็นการนำแพทเทิร์นของธรรมชาติมาใช้
ชอบไปถ่ายรูปต้นหญ้า ต้นไม้เล็กๆ ชอบงานที่เป็นการซ้อนทับกัน ทำให้ดูลึกลับ เป็นชื่อมาของ A Little More เราสะสมสิ่งที่เราเห็น”
ความสำคัญของการวาดรูป คือ การไม่กลัวที่จะวาด ทุกวันนี้ตุ่ยยังคงท่องไปในโลกสีน้ำ สนทนากับเพื่อนสีน้ำพร้อมทดลองเอฟเฟคไปด้วยกันยามว่าง แม้จะไม่ได้วาดรูปอย่างบ้าคลั่งเหมือนเดิม
แต่เธอได้พบแล้วว่าความสุขของเธออยู่ตรงไหน แล้วเธอก็พร้อมจะเติบโตไปพร้อมกับสีน้ำ เพื่อนร่วมทางที่น่าค้นหาต่อไป
พบกับนิทรรศการ A Little More ได้ที่แคสเซีย คาเฟ่ และ ทีรูม สุขุมวิท 31 ระหว่างวันที่ 13 กุมภาพันธ์ – 19 มีนาคม 2559 และผลงานสีน้ำของตุ่ยได้ที่ www.facebook.com/SupmaneeC
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/684861