วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559

เขียนช่วงไหนได้งานแจ่มที่สุดตามหลักวิทยาศาสตร์

นักเขียนออนไลน์หลายคนดูจะตามหาไม่เจอว่าตัวเองเหมาะกับเขียนช่วงเวลาไหนมากที่สุด ช่วงเวลาที่ไอเดียพรั่งพรูและสามารถเขียนเรื่องราวทุกอย่างได้จับใจคนอ่านโดยธรรมชาติ
ถ้าเดาไม่ผิด ช่วงเวลาที่คุณสามารถเขียนงานได้ไม่มีสะดุดมีน้อยมากเลยใช่ไหมล่ะ
Infographic ใหม่จาก QuickSprout หวังจะช่วยเหลือคุณให้ได้ประโยชน์จากเวลาอันมีค่ามากที่สุดผ่านการทดลองแบบเป็นวิทยาศาสตร์
เราหลายคนอาจแบ่งแยกประเภทว่าตัวเองเป็นพวกมนุษย์กลางวันหรือนกเค้าแมวกลางคืน แต่อันที่จริงแล้วยังมีปัจจัยอื่นๆ มากมายเช่น ระดับโดพามีน (สารที่ควบคุมความรู้สึกสุขและได้รับรางวัล) เราถูกดึงดูดความสนใจได้ง่ายแค่ไหน ทั้งหมดนี้มีผลต่อความสามารถในการสร้างสรรค์งานด้วยเช่นกัน
คุณจะมีระดับความสร้างสรรค์ที่ยอดเยี่ยมหากมีระดับโดพามีนสูงและความสนใจที่สูง นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนจึงมีไอเดียพุ่งกระฉูดขณะออกกำลังกายเช่นวิ่ง หรือขับรถ

ข้อดีของการเขียนตอนเช้า

- เรามีความพยายามมากที่สุดตอนตื่นนอน และจะลดหายไปอย่างมากตอนบ่าย
- เราจะมีพลังสร้างสรรค์มากมายตอนเช้า แต่มันก็จะไม่ทำงานได้ดีเท่าไหรหากไม่มีการออกกำลังกายเลยนะ
- เขียนจนเป็นนิสัย และเนื่องจากเรามีพลังตอนเช้าดังนั้นเขียนเสียตอนเช้าให้เป็นนิสัย

ข้อดีของการเขียนตอนกลางคืน

- มีการรบกวนน้อย หลังจากที่คุณเลิกงานมาเหนื่อยๆ
- คุณจะไม่รีบเร่ง เพราะคุณไม่ต้องกลัวไปทำงานสาย คุณจะเขียนได้อย่างผ่อนคลาย
- ลองทบทวนประสบการณ์ในวันนั้น และหยิบมันมาเป็นงานเขียนชิ้นเยี่ยมสิ
ขอบคุณข้อมูลจาก Marketingoops

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559

ขายสินค้าออนไลน์ ดีจริงหรอ ชั่วร์หรือมั่ว???

เมื่อตอนต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผมได้มาเล่าเรื่อง 3 ข้อที่ควรรู้ก่อนเปิดร้านขายของบนโลกออนไลน์ไป มีคำถามเข้ามาทางอีเมลมาถามว่า...

"จากที่อ่านได้บทความ 3 ตอนต่อของพี่ไปแล้ว หนูยังไม่แน่ใจว่าควรจะเปิดร้านขายบน Social ดีหรือเปล่าคะ??? พี่ช่วยบอกหน่อยว่าควรตัดสินใจยังไงดี"

ถ้าอย่างงั้นมาดูข้อเด่น และข้อที่ต้องใส่ใจเพิ่มเติมของการเปิดร้านขายของแบบยุคนี้กันดีกว่า แต่อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ทุกอย่างบนโลกนี้มีทั้งสองมุม ฉะนั้นผมเสนอทั้งมิติที่น่าสนใจ และน่าต้องระวังสำหรับให้คุณๆ ได้ตัดสินใจดูว่าโดนใจหรือยังนะครับ


ข้อที่น่าสนใจของการเปิดร้านขายของออนไลน์ จัดให้เลยครับทั้งหมด 7 ข้อ ดังนี้
  1. เปิดร้านขายสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง แบบเดียวกับ 7-11 ที่ไม่มีเวลาปิดนะครับ (หรือถ้าบางคนไม่สะดวกเปิดตลอดทุกเวลา ก็สามารถตั้งเวลาเปิดปิดร้านได้) และไม่ต้องมีหน้าร้านจริงๆ ก็ขายสินค้าได้
  2. มีการลงทุนเริ่มต้นน้อยกว่า เพราะไม่ต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ที่มีโอกาสถูกบ้าง หรือแพงบ้าง ไม่ต้องเสียค่าตกแต่งร้านให้สวยงามอร่ามหรู ประหยัดการจ้างงาน ไม่จำเป็นต้องมีพนักงานขายของมากมายจนเกินไป
  3. สินค้าที่คุณขายกระจายได้ไปทั่วประเทศไทย หรือทั่วโลกเลยก็ได้ แบบคุณไม่ต้องร้องเร่แห่แหนไปทุกจังหวัดนะครับ เพียงใช้สื่อออนไลน์ให้ได้ประโยชน์สูงสุดครับ
  4. มีระบบการจัดการร้านที่ดี อันนี้รวมไปถึงระบบการชำระเงินได้หลายรูปแบบ เช่น หักเงินบัตรเครดิต, Mobile Banking, Paypal ฯลฯ
  5. เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าได้มากกว่า 1 กลุ่ม
  6. เราพูดคุยกับลูกค้าได้โดยตรงเลย ถ้าลูกค้าสนใจจะติดต่อเข้ามา เพื่อสอบถามสิ่งต่างๆ คุณเองก็สามารถแนะนำเพิ่มเติมข้อมูลต่างๆ ได้อีกด้วย
  7. มีช่องทางปล่อยของหลากหลาย ลองดูรอบตัวคุณครับ สื่อออนไลนืแทบจะกระแทกหน้าเราอยู่ทุกวันเลย ตั้งแต่ facebook, line, instgram, website, pinterest, อีเมล และอื่นๆ เราไม่ต้องใช้หมดนะครับ แต่เรื่องอันที่เหมาะกับคุณที่สุด ผมแนะนำว่าอย่างน้อยมีสัก 2 ช่องทาง เพื่อไว้เป็นแนวทางสำรองนะครับ

แนะนำข้อน่าโดนใจไปแล้ว 7 มุมมองแล้ว ขอพลิกมุมกลับมาอีกด้านหนึ่ง กับ 5 ข้อที่คุณต้องใส่ใจเป็นพิเศษถ้าจะเปิดร้านขายของออนไลน์นะครับ มาดูกันดีกว่ามีอะไรบ้าง
  1. อัตราการแข่งขันสูงลิ่วจริงๆ สำหรับธุรกิจแนวนี้ เพราะด้วยความสะดวกในการเปิดร้าน และใครๆ ก็อยากมีรายได้เสริมเพิ่มเติม หนึ่งแนวทางที่เลือกกัน คือการเปิดขายของผ่าน Social แหละครับ
  2. หลายๆ รูปแบบร้านค้าที่เปิดให้ใช้บริการตามเว็บต่างๆ ซึ่งเป็นแบบพื้นฐานที่กำหนดเอาไว้ ถ้าคุณอยากปรับเปลี่ยนอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หรือต้องอาศัยเทคนิคทางคอมพิวเตอร์มาเขียนโปรแกรม หรือแม้แต่ถ้าอยากมีเว็บของตัวเองเลย ก็ต้องใช้ความรู้ทางด้านภาษาคอมพิวเตอร์มาเพิ่มเติม (ซึ่งผมเองก็ไม่มี 555)
  3. การเปิดร้านค้าขึ้นมา คุณต้องมีเวลาให้กับร้านของคุณด้วยนะครับ เพราะคือแหล่งทำมาหากินของคุณหนึ่งแหล่งเลย ไม่ใช่เปิดร้านมาแล้วมาปล่อยทิ้งร้าง ไม่ได้เข้ามาเติมแต่งให้สวยงามน่ามองเลย ขยันหมั่นมาอัพเดทบ้างนะครับ
  4. จากข้อแรกที่บอกไปว่าปริมาณร้านค้าเยอะมาก คุณจะทำยังไงให้ร้านของคุณกลายเป็น คืนพิเศษคนพิเศษที่โดดเด้งเห็นชัดขึ้นมา หนึ่งกระบวนท่าที่ต้องทำ คือ การโปรโมทสินค้าให้เป็นที่รู้จัก บางคนอาจจะฝากร้านกับเพื่อนๆ ที่ให้ช่วยบอกต่อ หรือแชร์เพจใน facebook หรือถ้ามีสตางค์ก็อาจเป็นการซื้อโฆษณาโปรโมท (ลองอ่านตอนก่อนหน้านี้ ที่นี่ครับ ว่ามีอุปกรณ์ช่วยเราโปรโมทได้อย่างไรบ้าง)
  5. ข้อจำกัดของเวลาต่างๆ เช่น ลูกค้าต้องการให้ตอบข้อความในระยะเวลาอันสั้น, เช็คเงินค่าโอนสินค้าว่าได้หรือยัง, อยากได้สินค้าใน 3 วันเราก็ต้องส่งแบบ EMS ให้ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างกับการซื้อของตามห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าปกติทั่วไป ที่จ่ายเงินซื้อแล้ว จับต้องสินค้าได้ทันทีนะครับ

เป็นยังไงบ้างครับกับทั้งสองด้านของความน่าสนใจ และสิ่งที่ต้องใส่ใจสำหรับการต้ดสินใจเปิดร้านขายของออนไลน์ ที่ผมชี้ประเด็นให้เห็นทั้งหมด เพราะว่าเราควรรู้ข้อมูลให้ครบทุกด้านก่อน เพื่อใช้ตัดสินใจที่ชัดเจนมากขึ้นนั่นเอง เห็นข้อที่ต้องระวังอย่าเพิ่งไปกลัว จนไม่กล้าเปิดร้านนะครับ ลองมองกลับดูว่าถ้าเรารู้เหตุการณ์ล่วงหน้าแบบนี้แล้ว ก็หาวิธีมาป้องกัน หรือจัดระเบียบกันล่วงหน้าไปเลย เพื่อความสบายใจแบบเจ้าของร้านอย่างคุณ และลูกค้าที่น่ารักของคุณด้วยนั่นเองครับ แล้วเจอกันใหม่ในตอนหน้านะครับ...

ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก Google ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

รู้ 3 ข้อนี้ก่อน ค่อยเปิดขายของออนไลน์ ภาค 3

จาก 2 ตอนที่ผ่านมาคุณๆ ได้รู้จักถึง 2 ส่วนแรกของการทำการช้อปปิ้งออนไลน์แล้ว นั่นคือ Online Trend และ Online Marketplace ผมรู้แล้วว่าคุณอยากรู้ส่วนสุดท้ายแล้ว งั้นมาเริ่มกันดีกว่าครับ

วันนี้มาต่อส่วนที่ 3 กันเลย ก็คือกระบวนการทำการตลาดออนไลน์ (Online Marketing) นั่นเองครับ การทำให้ร้านของเรา หรือสินค้าของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น เข้าไปถึงกลุ่มคนที่เราคาดการณ์เอาไว้ได้ในเวลาระยะเวลาอันสั้นกระจิดริด รวดเร็วสุดสุด วิธีที่น่าสนใจสำหรับแนวทางที่อยากจะไป ก็คงหนีไม่พ้นการทำการตลาดในโลกออนไลน์นั่นเอง คำถามที่จะตามมาแบบทันทีในหัวของทุกคนก็คือ แล้วเจ้า Online Marketing ที่เขาทำกันเยอะแยะตาแปะไก่เนี่ย ทำที่ไหน และทำยังไงล่ะ วันนี้ผมรวบตึงมาให้ 8 วิธีครับ มาลองดูกัน

วิธีที่ 1 ฝาก Banner กับที่ต่างๆ ขึ้นชื่อมาแนวโครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจช่วงเทศกาลหยุดยาวยังไงก็ไม่รู้ แต่จริงๆแล้วคนละเรื่องกันครับ #การตลาด3ช่า ขอเรียกวิธีนี้ว่า "แปะป้ายโฆษณาบนโลกอินเตอร์เน็ต" หรือถ้าใครยังคิดภาพตามไม่ออก ให้นึกเวลาดูรายการทีวีแล้วเป็นช่วงลุ้นเปิดป้าย แล้วสารพัดป้ายยี่ห้อต่างๆ มาโผล่ให้เราเห็นนั่นเอง การทำโฆษณา Banner ลักษณะนี้จะไปอยู่ตามเว็บต่างๆ ที่มีโครงสร้างเปิดพื้นที่ให้เอาป้ายโฆษณาสินค้าและบริการต่างๆ มาลงได้ โดยมีการเก็บค่าลงพื้นที่มากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่จำนวนคนที่เขข้ามาดูเว็บนั้นๆ และตำแหน่งที่คุณจะเอาป้ายไปวางไว้

วิธีที่ 2 การทำ Blog หรือ Website ขึ้นมา เราสร้างบ้านของเราขึ้นมา เพื่อให้คนที่สนใจที่ได้เข้ามาอ่านสามารถเห็นข้อมูลต่างๆ ได้ครบถ้วน พร้อมกันสอบถามหรือแสดงความคิดเห็นได้ด้วย ในที่สุดคุณอาจจะสร้างกลุ่มคนที่ชอบผลิตภัณฑ์ของคุณขึ้นมาในเว็บนี้ก็เป็นได้ เรียกว่ากระบวนท่านี้เป็นที่ปล่อยของได้แบบเต็มๆ ไม่ต้องกั๊กเลยครับ เพียงแต่ว่าคุณต้องให้ข้อมูลที่ผู้สนใจอยากอ่าน เพื่อใช้ตัดสินใจในการซื้อสินค้าของคุณ อีกอย่างที่อยากให้ทำ

วิธีที่ 3 การส่ง SMS อีกหนึ่งวิธีสุดฮิตที่นิยมทำกันมากๆ คือการส่งข่าวสารผ่านทาง SMS แนวทางนี้ไม่ยากครับ แต่ขอให้คุณมีเบอร์มือถือของกลุ่มเป้าหมายของร้านค้าคุณเท่านั้นเอง แต่ช้าก่อนอุปสรรคของวิธีนี้ก็มีอยู่ 2 เรื่อง คือ เดี๋ยวนี้ผู้ให้บริการมือถือมีสั่ง Block SMS ประเภทแนวรบกวนมารักกัน เอ๊ย!!! รบกวนหรือก่อกวนผู้ใช้มือถือได้ และอีกเรื่องการส่ง SMS มีข้อจำกัดของตัวอักษร ดังนั้นแล้วต้องสื่อสารให้สั้นและกระชับเพื่อความเข้าใจด้วยนะครับ



วิธีที่ 4 Social Network สังคมออนไลน์สามารถเข้าถึงผู้คนได้หลากหลาย การทำโฆษณาลักษณะนี้นิยมใช้ในการสร้างแบรนด์ขึ้นมา อิทธิพลของสื่อนี้จะทำให้เกิดการบอกต่อกันปากต่อปากของคนที่ได้เห็น หรือเรียกว่า Viral Marketing นั่นเอง

วิธีที่ 5 การสร้าง Clip ที่น่าสนใจ ไม่ใช่ Clip แนวไม่พึงปรารถนานะครับ สิ่งที่เราสร้างขึ้นมานี้มีจุดประสงค์ เพื่อให้ภาพลักษณ์ของร้านค้าเรา หรือยี่ห้อของเรา รวมไปถึงสินค้าของเราออกมาน่าสนใจนะครับ ดังนนั้นอีกหนึ่งวิธีในการสื่อสารนอกจากจะสื่อสารเป็นตัวหนังสือย่างเดียว การทำออกมาเป็นสื่อผสมระหว่างภาพและเสียงก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางน่าสนใจเช่นกันครับ โดยคุณอาจจะเอา Clip ไปฝากไว้ที่ Youtube แล้วเอา Link ไปไว้ในเว็บของคุณ หรือ Social Network ของคุณได้ด้วย

วิธีที่ 6 การทำ SEO (Search Engine Optimization) อธิบายสั้นๆว่า เวลาเราไปหาอะไรในพี่ Google แล้ว ขอให้สิ่งที่ลูกค้าเห็นจากการค้นหาในหน้าแรกเป็นของเรานั่นเอง ย้ำว่าหน้าแรกนะครับ ไม่ใช่เห็นเราในหน้าที่ 2 เป็นต้นไป ทำไมถึงบอกแบบนั้นล่ะ คิดง่ายๆ ครับ เวลาคุณเองเกิดอยากหาอะไรใน Google แล้ว คุณเคยคลิกไปหน้าที่ 2 บ้างกันหรือเปล่า นั่นแหละครับ พฤติกรรมแบบนี้คนอื่นก็เป็นเหมือนกันครับ ฉะนั้นอยู่ในหน้าแรกได้เปรียบกว่าครับ แต่กระบวนการจะได้มากับเจ้าสิ่งนี้ บอกได้เลยว่าค่อนข้างซับซ้อนซ่อนเเงื่อนเฉือนอารมณ์ยิ่งกว่าซีรี่ส์เกาหลีอีก เพราะท่านพี่ Google ก็มีความขยันหมั่นเพียรในการเปลี่ยนกติกาอยู่บ่อยๆ ดังนั้นอาจจะต้องจับตามองแบบทุกระยะเลยครับ



วิธีที่ 7 Google Adwords จัดอยู่ในรูปแบบของ Pay Per Click (เรียกสั้นๆ ว่า PPC) คือจ่ายเงินเมื่อมีการคลิกเข้าไปดูโฆษณาของคุณเท่านั้น วิธีนี้ดีตรงที่ทำให้เรารู้ว่าคนที่คลิกเข้าไปเป็นคนที่สนใจสินค้าหรือบริการของเราแน่นอน ถึงจะอ่านข้อความโฆษณาของเราแล้วคลิกไปดูโฆษณาที่จะขึ้นอยู่บริเวณด้านขวา หรือใต้กล่องข้อความที่ค้นหา ในหน้าผลการค้นหาของ Google สิ่งที่ประเสริฐเลิศล้ำของกระบวนท่านี้ คือ ทำได้เองโดยใช้เวลาไม่นาน สามารถกำหนดรูปแบบบให้เห็นเฉพาะพื้นที่ หรือกำหนดเวลาแสดงผลได้ และถ้าไม่มีคนคลิกก็ไม่ต้องเสียเงินครับ

และวิธีสุดท้ายลำดับที่ 8 การทำ Line@ หรือ Line Official Account อีกหนึ่งเทรนด์ใหม่ที่มาแรงแหวกทุกโค้งมาเลยครับในขณะนี้ เนื่องจาก Line@ ถูกพัฒนามาจากพื้นฐานการ Chat คุยกันของ Line ที่คนไทยใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ความพิเศษที่มากกว่าการเป็น Line ธรรมดา ผมลองนำมาเสนอแค่บางส่วนให้เห็นภาพกันนะครับ เช่น สร้างคูปองให้กับคนที่ติดตามผลิตภัณฑ์ของเรา เก็บแบบสอบถามความต้องเพื่อรู้ความต้องการของลูกค้าเราได้ ตั้งข้อความตอบกลับอัตโนมัติเวลามีคนส่งมาตรงกับ Keyword ที่เราวางไว้ และสามารถส่งข้อความครั้งเดียวให้กับทุกคนได้เลยจ้า ตอนนี้มีแบบใช้ฟรี และเสียสตางค์ แต่แน่นอนครับของฟรีก็มีข้อจำกัดในบางอย่าง ลองมองทางเลือกนี้ไว้เป็นอีกแนวทางแล้วกันนะครับ

ก่อนจากไปจากตอนไตรภาคเกี่ยวกับ Online Shopping นี้ ผมขอบอกก่อนนะครับว่า ไม่ได้ให้คุณทำทั้ง 8 กระบวนท่าครบถ้วนที่บอกกันมาในตอนนี้ จริงๆ ยังมีอีกหลายวิธีที่ไม่ได้ยกมาเล่าสู่กันฟัง คุณเองเท่านั้นที่เป็นคนตัดสินว่าชอบวิธีการไหน หรือทำอะไรคู่ควบรวบกับอะไรบ้าง เพื่อให้ตอบเป้าหมายทางการตลาดที่สูงสุดของร้านค้าคุณนั่นเอง 

ท้ายสุดนี้ ผมขออวยพรให้ทุกท่านที่อยากจะลองดำเนินการหารายได้หลัก หรือรายได้เสริมจากผ่านการขายของออนไลน์ โชคดีมีรายได้กันตลอดเวลา เฮงๆ รวยๆ นะครับ

ขอบคุณรูปภาพจาก Google ครับ

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559

รู้ 3 ข้อนี้ก่อน ค่อยเปิดขายของออนไลน์ ภาค 2

มาถึงข้อที่ 2 กันแล้วกับการขายของบนออนไลน์ จะทำยังไงดีหลังจากที่เรามีของจะเริ่มจำหน่ายแล้ว งั้นก็คงต้องหาที่ปล่อยของให้เกิดรายได้ สถานที่ปล่อยของของคุณ ตอนนี้ในประเทศเรามีมากมายจริงๆครับ มีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน อันนี้ก็แล้วแต่ใครชอบแบบไหน สามารถเลือกได้ตามอัธยาศัยเลยครับ (อันนี้ขอไม่ชี้นำทางความคิดนะครับ) แล้วทำไมการเปิดหน้าร้านออนไลน์จึงน่าสนใจล่ะ??? มุมนี้น่าคิดครับ เพราะหลายคนที่มีหน้าร้านแบบร้านมีตัวตนจริงๆ ไปเยี่ยมชมจับต้องสินค้าได้ คงครุ่นคิดอยู่ 



ผมมีข้อสรุปมาเสนอให้ว่า "ทำไม Online Marketplace จึงน่าสนใจ" กับ 3 ข้อด้านล่างนี้ครับ

ข้อแรก ประหยัดต้นทุนในภาพรวมทั้งหมดครับ เพราะว่าคุณไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ตามที่ต่างๆ ไม่ต้องจ้างใครมาช่วยเฝ้าร้าน ไม่ต้องเดินทางไปมาร้านกับบ้านคุณทุกๆ วัน เช้าไปเย็นกลับ รวมถึงต้นทุนด้านเวลาของคุณด้วย เพราะขายของในเวลาใดก็ได้ เป็นการสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ตที่คุณจะอยู่เหนือล่องใต้ก็ติดต่อกันได้หมดเลย และสั่งซื้อสินค้าในเวลาอันสั้นหรือไม่กี่คลิกนั่นเอง



ข้อสอง สะดวก แสนง่าย เปิดกันแบบ 24 ชั่วโมง ไม่ว่าใครก็สามารถเข้ามาหาร้านคุณได้ตลอดเวลา
ตั้งแต่เช้า, สาย, บ่าย, เย็น, Prime Time หรือแม้แต่ยาม Time ก็เช่นเดียวกันครับ เรียกว่าถูกใจชิ้นไหนก็หยิบจับใส่ตะหร้ากดจ่ายเงินกันได้ตลอดเวลาจริงๆ หรือบางร้านก็มีให้เชื่อม Facebook หรือ Line เพื่อให้ทักทาย Say Hello กับเจ้าของร้านได้โดยตรง เพื่อขอสอบถามเพิ่มเติมอีกหน่อย ก่อนจะตัดสินใจครั้งสุดท้าย หรือคุณลูกค้าขอต่อราคาสักนิด A Little Bit A Little More เพื่อเป็นสีสันก็ไม่ว่ากันะครับ

ข้อสาม เป็นการสร้างมูลค่าใหม่ๆ ได้ อย่างที่รู้กัน อะไรๆก็ขายบนโลกออนไลน์ได้ ทั้งของที่จับต้องได้ หรือจับต้องไม่ได้ แต่สัมผัสได้ เอิ่ม ไม่ใช่รายการอวดสิ่งเร้นลับนะครับ ผมหมายถึงความรู้หรือการสัมมนานั่นเอง หรือถ้าใครมีของเต็มบ้านแล้ว อยากจะจัดระเบียบแล้วของเราคุณภาพดีอยู่จริงๆ ตลาดปล่อยของมือ 2 ก็ยังมีให้เข้าไปเสนอขายได้เช่นกัน

เห็นมั้ยครับว่าแค่ 3 ข้อนี้ก็ทำให้การเปิดร้านค้าขายของบนอินเตอร์เน็ตน่าสนใจขึ้นมาแล้ว ผมกลัวคนอ่านจะหมดแรงแล้วเป็นลมไปเสียก่อน วันนี้ขอพอเท่านี้ก่อน ตอนหน้าผมจะมาต่อข้อสุดท้าย ซึ่งเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญของการขายของออนไลน์ นั่นคือ การทำการตลาดออนไลน์ให้ทราบกันต่อ อย่าลืมติดตามมาอ่านกันนะครับ

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

รู้ 3 ข้อนี้ก่อน ค่อยเปิดขายของออนไลน์

ในปี 2016 ขณะนี้กระแสสุดล้ำที่ทำกันอย่างแพร่หลายคงหนีไม่พ้น Online Shopping (การซื้อขายสินค้ากันบนออนไลน์) แน่นอนครับ ผมขอฟันธง!!! แต่แล้วเจ้า Online Shopping ที่ใครๆก็พูด ใครๆก็ทำเนี่ย ทั้งที่ไม่ต้องมีหน้าร้านจริงๆ ก็ขายได้ มันคืออะไร ยังไง ไฉนฮิเนี่ย เคยสงสัยกันบ้างมั้ยครับ งั้นวันนี้ผมพามาเจาะลึกให้รู้จักการซื้อขายของกันบนโลกออนไลน์กันดีกว่าครับ


งั้นคุณต้องรู้ก่อนว่าองค์ประกอบสำคัญของการทำ Online Shopping เนี่ยกับการเปิดร้านค้าทั่วไปตามห้างสรรพสินค้า, ตลาดนัดหรือทำเลต่างๆ มีส่วนที่เหมือนกันอยู่ 3 มุมมอง ได้แก่ 

มุมแรก "จะขายอะไรดี???" = อะไรฮิต อะไรโดน สิ่งไหนน่าสนใจ (Online Trend)


มุมที่สอง "จะเปิดร้านที่ไหน???" = สถานที่ปล่อยของของคุณนั่นเอง (Online Marketplace)

มุมที่สาม "คนจะเห็นได้ยังไง???" = การทำการตลาดให้คนรู้จัก (Online Marketing)



มาเริ่มจากข้อแรกกันก่อน เราจะหาอะไรมาขายดีล่ะ หลายคนมีไอเดียแล้วบ้าง บางคนก็อาจจะกำลังคลำทางหาแนวที่ตัวเองชอบอยู่ ผมขอยกตัวอย่าง 5 รูปแบบสินค้าที่น่าสนใจ จากเว็บไซด์ของ www.dbdmart.com มาฝากกัน มาดูกันว่าของเหล่านี้น่าจะเปิดไอเดียในการหาของมาขายะไรกันได้บ้างนะครับ


1. สินค้าเฉพาะกลุ่ม หรือกลุ่มที่เรียกว่า “Niche Market” เช่น สินค้าสำหรับคนท้อง สินค้าสำหรับคนอ้วน สินค้าสำหรับแต่งตัวเลียนแบบตัวการ์ตูน (Cosplay) เป็นต้น จะทำให้เจาะจงและเข้าถึงลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้ไม่ยาก เพราะหากสามารถจับและเข้าถึง กลุ่มลูกค้านี้ได้แล้วลูกค้าจะจดจำร้านของคุณได้ ทำให้โอกาสในการขายมีมากกว่าและจะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องได้

2. สินค้าที่คนเราอายที่จะไปซื้อ มีสินค้าบางชนิดที่ลูกค้าไม่กล้าไปซื้อที่หน้าร้าน เพราะอาจจะเขินอายหน้าแดงตัวแดง หรือไม่ต้องการเปิดเผย สินค้าที่มีลักษณะนี้ เช่น สินค้าเกี่ยวกับเรื่องเพศ ชุดชั้นในเซ็กซี่ ชุดเซ็กซี่ ถุงยางอนามัย

3. สินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นสินค้าที่มีความแตกต่าง ไม่เหมือนร้านอื่น ลูกค้าจะต้องมาซื้อที่ร้านของคุณเท่านั้น เช่น เสื้อผ้าที่มีลวดลายเฉพาะ สินค้าทำมืออย่างตุ๊กตาไหมพรม อย่างไรก็ตามจะต้องสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่า สินค้าเป็นของดีมีคุณภาพ ลูกค้ามักจะไม่รู้จักมาก่อน ต้องใช้เวลาในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าอยู่พอสมควร ลงรูปสินค้าในทุกมุม อธิบายรายละเอียดให้ครบถ้วน  จุดเด่นของสินค้า หรือการดูแลรักษา จะช่วยให้น่าเชื่อถือ และตัดสินใจซื้อได้ไม่ยาก



ผ่านไป 3 ข้อแล้ว บางคนอาจจะยังคิดไม่ออกหรือเปล่าครับ ผมยังมีอีก 2 แนวทางมานำเสนอคุณกัน มาดูกันดีกว่าว่าคืออะไร

4. สินค้าที่ไม่ค่อยนิยม มีเรื่องราวน่าสนใจ แนวผลิตจำกัด (Limited Edition) หรือหายากมากๆ (Rare Item) เช่น เทปเพลงเก่า, แผ่นเสียงเพลงเก่า, รูปปั้นแบบโบราณ, โคมไฟทรงโบราณ, ของสะสมบางอย่างที่ผลิตมาเพียง 500 ชิ้นบนโลก เป็นต้น มองว่าสินค้าเหล่านี้ไม่น่าจะขายได้ ซึ่งเป็นเหตุให้สินค้าเหล่านี้ไม่มี การแข่งขัน หรือคู่แข่งขันน้อย หากลองนำมาขาย ก็อาจทำให้ลูกค้าจดจำเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ของคุณ ที่ขายของแบบนี้

5. สินค้าแนว D.I.Y. (Do It Yourself) หลายๆ คนชอบซื้อสินค้าประเภทที่ซื้อไปทำต่อเองได้ อยากลงมือสร้างขึ้นมา อาทิ ชุดทำอาหารง่ายๆ ที่บ้านคุณ ชุดถักโครเชต์พร้อมวิธีการถักที่คุณสามารถถักเป็นตุ๊กตาน่ารักๆได้เอง ชุดเก้าอี้ที่เอาไปประกอบเองได้โดยไม่ต้องตอกตะปู ชุดแปลงปลูกต้นไม้ขนาดเล็กบนคอนโดของคุณ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะทำให้ร้านของคุณน่าสนใจได้ และอาจจะมีวิธีเล่าเรื่องผ่าน Clip การ D.I.Y. จากคุรเองในฐานะเจ้าของร้านก็ได้นะครับ

ไม่ว่าคุณจะเลือกสินค้ากลุ่มไหนเป็นสิ่งที่คุณอยากจะขายก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ต้องใส่ใจเสมอคือ การให้บริการที่จริงใจ และไม่โกหก หรือหลอกลวงผู้บริโภคของคุณนะครับ มิฉะนั้นแล้ว ร้านค้าของคุณจะย่อยสลายปิดตัวด้วยตนเอง ในระยะเวลาที่ไม่นานแน่นอน เพราะบนโลก Online ทุกอย่างที่แพร่กระจาย และส่งต่อกันได้รวดเร็วมากๆ นะครับ 


วันนี้ผมให้ข้อมูลจากส่วนแรกกันก่อนนะครับ พรุ่งนี้มาติดตามกันต่อกับส่วนที่ 2 กันว่าแล้วมีของในมือแล้วจะไปปล่อยของประลองยุทธกันที่ไหนดี ขออนุญาตผู้อ่านทุกคนด้วยนะครับ ขอแตกเป็น 3 ตอนย่อยแบบหนังไตรภาคจริงๆ เพราะว่าถ้าจับมารวบตึงกันในตอนเดียว เกรงว่าคุณผู้อ่านจะกระอักเลือดออกมาได้ครับ ยังไงแล้วพรุ่งนี้มาตามกันต่อนะครับ และขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาด้วยครับ

ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก Google ครับ