ข้อแรก ในฟาร์มปลูกพืชผักออร์แกนิค หรืออะไรที่ไม่แตะต้องสารเคมีเนี่ย ต้องใช้ปุ๋ยแบบอินทรีย์เท่านั้น แน่นอนว่าราคาปุ๋ยที่ใช้ก็เลยสูงกว่าปุ๋ยเคมีนั่นเอง ไม่เท่านั้นนะครับ ยังมีการวางแผนปลูกพืชหมุนเวียน เพื่อคงคุณภาพของสภาพดินไว้ รวมทั้งรักษาการเติบโตของวัชพีชที่อยู่ในดินไว้ด้วยเช่นกัน พอถึงเวลาเก็บเกี่ยวไปแล้ว ต้องมีการปลูกพืชคลุมดิน เพื่อเติมสารไนโตรเจนสำหรับใช้เป็นอาหารของพีชในรุ่นถัดๆ ไปนั่นเอง เห็นมั้ยครับแค่การเริ่มปลูกก็ใช้การวางแผนที่ต้องรอบคอบ และการใช้อินทรีย์วัตถุเท่านั้นด้วย
ข้อสอง ต้องมีการใช้แรงงานคนมากกว่าปกติ ไม่ใช่เอาไว้เฝ้าขโมยที่จะมาตัดผักนะครับ (คนที่ไปขโมยหรือตัดผลผลิตแบบนี้ น่าให้ตำรวจจับให้ได้ทุกกรณีจริงๆ) แต่เพราะว่าต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ เนื่องจากไม่ได้มีการใช้สารเคมีต่างๆ ฉะนั้นการกำจัดแมลงศัตรูพีช จึงต้องใช้คนในการจัดระเบียบสังคมให้นั่นเอง
และข้อสุดท้าย ขอวนไปเรื่องเศรษฐศาสตร์สักหน่อยนะครับ กับเรื่อง Demand และ Supply กลุ่มผลิตภัณฑ์แนวนี้มีจุดคิด ก็คือผู้บริโภคคิดสมัยนี้เริ่มหันมาเลือกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสูงขึ้น หรือนิยมมากขึ้นนั่นเอง แต่จำนวนผู้ผลิตผักผลไม้พีชพรรณต่างๆ ยังคงมีจำนวนเท่าเดิม ซึ่งดูแบบกวาดตาเร็วๆ จะเห็นว่าไม่น่าเพียงพอต่อความต้องการในตลาดแน่ๆ จึงทำให้เกิดความต้องการที่มากกว่าสินค้าในโลกแห่งความเป็นจริง ดังนั้นถ้าหลายๆ คนวาดกราฟของ Demand กับ Supply ได้ จะรู้ว่าสถานการณ์นี้ของในตลาดมีมารอจำหน่ายเท่าเดิม แต่คนต้องการมากยิ่งขึ้น ราคาจำหน่ายก็ต้องสูงกว่าปกติ เพราะมีความต้องการมากนั่นเองครับ
ได้ทราบเหตุผลทั้ง 3 ข้อของสิ่งที่มีผลต่อราคาของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Organic ไปแล้ว ใครที่ชื่นชอบแนวสินค้านี้ก็จะได้ซื้ออย่างสะดวกใจมากขึ้นว่า สิ่งที่เราซื้อมาได้ซื้อของที่มีคุณภพาปราศจากสารต่างๆ แน่นอน และในทางกลับกันผู้ผลิตที่เห็นว่ากลุ่มนี้น่าสนใจ แล้วจะเข้ามาสู่สมรภูมิแห่งนี้ ก็อยากให้ทำสินค้าที่มีคุณภาพจริงๆ ไม่หลวงหลอกคนซื้อนะครับ ไม่ใช่เอะอะก็อ้างว่าไร้สาร ปลูกแบบ Organic แน่นอนชัวร์ป๊าบล้านเปอร์เซ็นต์อ่ะครับ การไม่ซื่อสัตย์ต่อผู้บยริโภคเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำนะครับผม
ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก Google ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น